คุยกับ ‘จี๊ป ไคลน์’ เส้นทางชีวิต VC ‘ไทย’ ใน Silicon Valley
สัมภาษณ์พิเศษ
การติด 1 ใน 25 อันดับแรกสตรีผู้ทรงอิทธิพลในซิลิคอนวัลเลย์ (Silicon Valley) ศูนย์กลางเทคโนโลยีระดับโลก
การันตีฝีมือ และชื่อชั้นของ “จี๊ป ไคลน์” ชาวไทยที่มีประสบการณ์การทำงานในแวดวงการลงทุนและเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกากว่า 20 ปี
ชีวิตผู้หญิงคนนี้มีหลายบทบาทที่น่าสนใจ เธอเปิดตัวกองทุน VC มาแล้ว 4 กองทุน ปัจจุบันที่ยังดำเนินงานอยู่ คือ Raisewell Ventures เน้นลงทุนในบริษัทระดับ Early to Mid Stage (Preseed to Series B) ในสหรัฐ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เธอยังเป็นอาจารย์ไทยคนแรกของ UC Berkeley Haas School of Business อีกด้วย
“ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสพูดคุยกับ“จี๊ป” อีกครั้ง เกี่ยวกับเส้นทางชีวิตในสหรัฐ การทำงานที่ทดสอบจิตวิญญาณ “นักสู้” ไปจนถึงการปรับตัวให้เข้ากับสังคมของซีกโลกตะวันตก และอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนโดย “ผู้ชาย” เป็นส่วนใหญ่
“ต้มยำกุ้ง” จุดเริ่มต้นของชีวิต
“จี๊ป” เล่าว่า ปี 1997 เป็นช่วงที่กำลังจะจบ ม.ปลาย และเกิดวิกฤตการณ์ “ต้มยำกุ้ง” ตนเห็นหลายครอบครัวล้ม จากผลกระทบทางเศรษฐกิจจึงตัดสินใจว่าจะศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ต่อ เพราะอยากมีความรู้กลับมาช่วยพัฒนาประเทศ ทั้งชื่นชอบวิชานี้ด้วย
หลังสำเร็จการศึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง มีโอกาสไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่ University of Michigan Ann Arbor สหรัฐอเมริกา โดยได้ทุนให้เปล่า ซึ่งปกตินักเรียนต่างชาติจะได้สิทธิยากมาก เพราะมักสงวนให้คนในประเทศก่อน
ความโชคดีของการไปเรียนต่อครั้งนี้ คือมีโอกาสได้เป็น ผู้ช่วยนักวิจัยของ “เคอร์วิน ชาลส์” (Kerwin Charles) ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำ Yale School Of Management
“ตนได้พูดคุยถึงความตั้งใจแรกที่ตัดสินใจเรียนเศรษฐศาสตร์ เขาก็บอกว่าคนแบบคุณคิดกว้างกว่าประเทศไทยได้ และแนะนำให้ลองไปสมัครงานที่ ธนาคารโลก หรือ World Bank ตอนนั้นเวิลด์แบงก์รับแค่คนที่จบจาก Ivy League เราเป็นคนไทยตัวเล็ก ๆ แทบไม่เห็นทางที่จะเข้าไปที่นั่นได้เลย แต่เมื่อตัดสินใจว่าจะลองดู ก็เริ่มส่งอีเมล์ไปหานักเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานในนั้น ติดต่อเขาเรื่อย ๆ เพื่อนัดหมายเจอกัน และพิตช์ว่าเราเป็นใคร ทำอะไรได้บ้าง บินจากมิชิแกนมาที่วอชิงตัน ดี.ซี. แทบทุกวันหยุด ค่าตั๋วเครื่องบินก็แบ่งจากเงินค่าขนมที่ได้รับจากทุน”
คนไทยใน “เวิลด์แบงก์”
ช่วงนั้นไล่พิตช์กับนักเศรษฐศาสตร์ในเวิลด์แบงก์เยอะมาก ไม่ต่ำกว่า 40 คน เริ่มจากศึกษางานของเขา ดูว่าเขาถนัดหรือทำวิจัยเกี่ยวกับอะไร ส่งอีเมล์ โทร.นัด บินไปหา คุยในสิ่งที่เขาทำ แม้จะโดนปฏิเสธอยู่เรื่อย ๆ แต่ทุกครั้งก็จะได้ความรู้ใหม่ ๆ กลับมาเสมอ และในที่สุด นักเศรษฐศาสตร์คนที่ 50 ตัดสินใจรับตนเข้าทำงานด้วยข้อเสนอให้ทดลองงานช่วงซัมเมอร์ 3 เดือน โดยไม่มีค่าจ้างให้ ตนก็ตกลงรับข้อเสนอนั้น
ปรากฏว่าทำงานไปได้เดือนครึ่ง ก็ผ่านทดลองงานและได้รับค่าจ้างก้อนแรก อีก 6 เดือนถัดมา ก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นพนักงานในเวิลด์แบงก์ และถูกส่งไปเป็นที่ปรึกษาของกระทรวงการคลัง ในหลายประเทศทั่วโลก ส่วนใหญ่เป็นตลาดเกิดใหม่ เช่น แอฟริกา ละตินอเมริกา และบางประเทศในเอเชีย
การทำงานในเวิลด์แบงก์เป็นโอกาสให้ได้ทำงานกับนักเศรษฐศาสตร์ระดับโลก เช่น พอล ครูกแมน (Paul Krugman) บางคำถามที่เคยได้ถามพอลตอนนั้น ทำให้รู้ว่าโจทย์ทางเศรษฐกิจบางอย่างหาคำตอบด้วยความรู้ทางเศรษฐศาสตร์อย่างเดียวไม่ได้ เพราะเกี่ยวข้องกับ “การเมือง” โดยตรง นับเป็นประสบการณ์การทำงานที่ล้ำค่ามาก
“ตอนที่ได้เข้ามาทำงานในเวิลด์แบงก์แรก ๆ คนที่เคยปฏิเสธเราไป ก็มาแสดงความยินดีกับเรา พออยู่ไปสักพัก ก็เข้าใจเหตุผลว่าที่เขาจ้างเราไม่ได้คืออะไร ไม่ใช่เราไม่เก่ง หรือเข้ากันไม่ได้ แต่เป็นเพราะเขาอยู่ในช่วงที่ไปประจำการที่อื่น ไม่มีเงินจ้างคนเพิ่ม”
จุดเปลี่ยนสู่วงการเทค
“จี๊ป” เล่าถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตที่ทำให้ตัดสินใจลาออกจากการเป็นนักเศรษฐศาสตร์ว่า หลังทำงานกับเวิลด์แบงก์ได้ 1 ปี หรือช่วงปี 2006 ถูกส่งให้ไปทำงานที่ประเทศแทนซาเนีย อยู่ทางตะวันออกของแอฟริกา ก็มีความคิดจะลงพื้นที่สำรวจเมือง เพราะอยากรู้ว่าคนจนในประเทศนั้นใช้ชีวิตกันอย่างไร จึงตัดสินใจจ้างแท็กซี่ทัวร์รอบเมืองในช่วง 5 โมงเย็น
สิ่งที่เห็นจากการสำรวจเมืองวันนั้น คือคนแอฟริกาไม่ได้มีไฟฟ้าใช้ตลอดทั้งวัน มือถือก็ยังเป็นปุ่มกดธรรมดา แต่ทุกคนใช้มือถือปุ่มกดโอนเงินให้ที่บ้านเป็นปกติ ถือเป็นยุคแรก ๆ ของ Mobile Payment พอกลับมาสหรัฐ ก็พยายามทำวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีมาเรื่อย ๆ เพราะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตคนให้ดีขึ้น
“หลังทำงานเวิลด์แบงก์ได้ 3 ปี ตัดสินใจลาออก อยากหาโอกาสใหม่ ๆ กับสิ่งที่เราสนใจ ซึ่งทุกคนตกใจมาก เพราะการทำงานที่นี่ นอกจากมีหน้ามีตา ยังมีสิทธิประโยชน์หลายอย่างที่อาชีพอื่นไม่มี เช่น ไม่ต้องจ่ายภาษี เป็นต้น”
หลังลาออกจากเวิลด์แบงก์ ก็ตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่แถบตะวันตกของสหรัฐ จึงได้มีโอกาสได้พูดคุยกับคณบดีของ UC Berkeley ในตอนนั้นก็เสนอให้ทุนเรียนปริญญาโท MBA ฟรี ในวันปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ ได้ฟังสปีชของ “พอล โอเทลลินี” (Paul Otellini) อดีตซีอีโออินเทล (Intel) และได้ถามคำถามบนเวทีด้วย
“เหตุการณ์วันนั้น ทำให้มีโอกาสเข้าร่วม Leadership Program ของอินเทล พอลคัดเด็ก 15 คน มาร่วมงานกับบริษัท ผลงานที่ประสบความสำเร็จมาก ๆ คือการพัฒนาแท็บเลตระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ราคา 99 เหรียญสหรัฐ (3,200 บาท) มาตีตลาดกับคู่แข่งที่ราคาสูงกว่ามาก แท็บเลตรุ่นนี้ได้รับความนิยมมากในเอเชียและอินเดีย”
โดยไอเดียที่อยู่เบื้องหลังโปรเจ็กต์นี้มาจากประสบการณ์ตอนที่ทำงานในเวิลด์แบงก์ คนในตลาดเกิดใหม่ไม่มีกำลังที่จะซื้อแท็บเลตเครื่องละหลายพันเหรียญขนาดนั้น
บทบาทการเป็นอาจารย์
หลังทำงานที่อินเทลได้ 7 ปี รู้สึกว่าถึงเวลาที่ต้องไปหาประสบการณ์ใหม่ เป็นจังหวะที่มีนักลงทุน VC ในซิลิคอนวัลเลย์ติดต่อมา ทำให้มีโอกาสได้เป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเทคโนโลยีแห่งหนึ่ง รวมถึงผันตัวมาตั้งกองทุน VC และ Impact Fund เพื่อขยายการลงทุนไปยังสตาร์ตอัพกลุ่มใหม่ ๆ ที่สร้างอิมแพ็กต์ให้เศรษฐกิจและสังคม
พอสิ่งที่ทำประสบความสำเร็จ UC Berkeley ก็ทาบทามให้มาเป็นอาจารย์พิเศษของ Haas School of Business ตั้งแต่ปี 2021 เพื่อสอนนักศึกษาระดับปริญญาโทเกี่ยวกับการบริหารกองทุน VC ซึ่งนักศึกษาทั้งหมดมีประสบการณ์การทำงานมาก่อน โดย 60% เป็นเด็กอเมริกัน ส่วน 40% ที่เหลือเป็นเด็กต่างชาติ
การเป็นอาจารย์ใน UC Berkeley ต้องเตรียมตัวเยอะมาก ก่อนมอบหมายงานแต่ละเคสให้นักศึกษา ต้องอ่านอย่างน้อย 50 เคส เพื่อให้ครอบคลุมแผนการสอนตลอดทั้งเทอม เพราะมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงติดอันดับท็อปของโลก และค่าเล่าเรียนสูงมาก ทุกคนเชื่อมั่นว่าอาจารย์ที่เข้ามาสอนต้องมีคุณภาพจริง ๆ
“ในคลาสมีเด็กเข้ามาเรียนด้วย 40 คน แต่เด็กที่เข้ามาคัดคุณภาพอย่างดี ทุกคนหิวและกระหายในการเรียนรู้มาก ดีใจเวลาอาจารย์แจกเคสเพิ่ม และพยายามทุกทางเพื่อพูดคุย หรือขอคำปรึกษาจากอาจารย์โดยตรง”
ร่วมงานกับคนที่ใช่
เมื่อถามถึงความท้าทายในฐานะ “คนเอเชีย” ที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับการทำงานในสหรัฐ “จี๊ป” บอกว่า ภาพรวมของผู้บริหารในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และกองทุน VC 99% เป็นผู้ชาย อีก 1% เป็นผู้หญิง ซึ่งตนถือเป็นคนส่วนน้อยของ 1% นั้นด้วย เพราะเป็นชาวเอเชียแท้ ๆ เพียงไม่กี่คนที่ก้าวมาถึงจุดนี้ ทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเผชิญกับความกดดันทางสังคม
“การทำงานในอุตสาหกรรมเทคแข่งขันสูงอยู่แล้ว ฟาดฟันกันในโปรเจ็กต์ต่าง ๆ เป็นปกติ แต่ส่วนตัวเป็นคนที่มีความเชื่อว่าถ้ามีเป้าหมายในการทำงานชัด ก็สามารถชนะเอาทุกอย่างได้ หรืออย่างการทำงานกับหัวหน้าที่เข้ากันได้ ก็เป็นส่วนที่ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น แม้จะต้องเจอกับอุปสรรคใด ๆ ก็ตาม”
“จี๊ป” บอกด้วยว่า เทคนิคการทำงานที่ตนใช้มาตลอด คือการสัมภาษณ์ “หัวหน้า” ในใจขณะที่เรากับเขากำลังพูดคุยกัน เพื่อดูว่าเข้ากันได้ดีหรือเปล่า ถ้าหัวหน้าเป็นคนชอบให้ทำงานตามสั่ง แต่เราชอบมองหาโอกาสกับพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ ก็รู้แล้วว่าเข้ากันไม่ได้ ซึ่งการตามหาเพื่อนร่วมงาน “ที่ใช่” เป็นแนวทางที่ใช้ในการตามหาพาร์ตเนอร์ในการทำกองทุน VC มาจนถึงปัจจุบันด้วย
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : คุยกับ ‘จี๊ป ไคลน์’ เส้นทางชีวิต VC ‘ไทย’ ใน Silicon Valley
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net