“คลัง” เปิดตัว “TouristDigiPay” คริปโตเปลี่ยนเป็นเงินบาท หนุนใช้จ่ายท่องเที่ยวพุ่ง
วันนี้ 18 ส.ค. 2568 นายพิชัย ชุณวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดตัว “TouristDigiPay” พร้อมนำร่องในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวหรือไฮซีซันในรูปแบบแซนด์บ็อกซ์เป็นระยะเวลา 18 เดือน
ทั้งนี้ หากนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยปีละประมาณ 35 ล้านคน มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5,000 บาทต่อคนต่อหัว และหากโครงการนี้ทำให้การใช้จ่ายสะดวกขึ้น ก็จะทำให้เกิดแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10% ซึ่งจะก่อให้เกิดเม็ดเงินสะพัดเพิ่มขึ้นประมาณ 175,000 ล้านบาท
“ในการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาเปลี่ยนเป็นเงินบาทและนำไปใช้จ่ายผ่าน e-money เพิ่มทางเลือกนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งเสริมการนำนวัตกรรมและสินทรัพย์ดิจิทัล มาสนับสนุนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศ เบื้องต้นจะนำร่องให้นักท่องเที่ยวสามารถใช้จ่ายได้ไม่เกิน 550,000 บาทต่อเดือน และไม่เกิน 100,000 บาทต่อครั้ง และไม่ผูกกับเครดิตการ์ด เชื่อว่า เมื่อประกาศใช้แล้วจะบรรลุวัตถุประสงค์เป็นประโยชน์กับผู้ใช้งานและช่วยทำให้ภาคการท่องเที่ยวเติบโต” นายพิชัย กล่าว
สำหรับวงเงินในการใช้จ่ายดังนี้
กรณีชำระเงินแก่ร้านค้ารายย่อย ไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือน
กรณีชำระเงินแก่ร้านค้าที่ผ่านกระบวนการ Know Your Merchart (KYM) ไม่เกิน 500,000 บาทต่อเดือน
ส่วนค่าธรรมเนียมการซื้อขายสิทนทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาทเป็นไปตามที่ผู้ประกอบการสินทรัพทย์ดิจิทัลภายใต้โครงการแซนด์บ็อกซ์
ขณะที่ นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มว่า หากผ่านช่วงการทอลองแล้วประสบความสำเร็จกระทรวงการคลังอาจจะขยายวงเงินการแลกคริปโตเป็นเงินบาทให้มากกว่า 550,000 บาทต่อเดือน เพื่อให้สามารถนำเงินทริปโตไปซื้ออสังหาฯ หรือ สินทรัพย์ราคาแพง เช่น เรือยอร์ช เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ
“การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ควบคู่ไปกับการท่องเที่ยว จะช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ และดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาใช้จ่ายในไทยมากขึ้น อีกทั้งยัง เป็นการวางรากฐานให้ประเทศไทยก้าวสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ” นายลวรณ กล่าว
ด้านนางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าว สำหรับ TouristDigiPay จะเปิดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. ร่วมกับผู้ให้บริการ e-money ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สามารถให้บริการแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล โดยนำมาเปลี่ยนเป็นเงินบาทและใช้จ่ายในประเทศไทยผ่านระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-money) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติมให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติในการนำสินทรัพย์ดิทัลมาเปลี่ยนเป็นเงินบาทได้ ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสในการดึงดูดเม็ดเงินจากต่างประเทศ ส่งเสริมความเข้มแข็งให้ระบบเศรษฐกิจไทย
ทั้งนี้ภายการใช้จ่ายภายใต้ TouristDigiPay นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถสแกนชำระเงิน (เช่น ผ่านแอปพลิเคชัน
บนสมาร์ตโฟน เป็นต้น) กับร้านค้าต่าง ๆ ได้ในทุกพื้นที่ในประเทศไทย ทั้งร้านค้าขนาดใหญ่ และพ่อค้าแม่ค้ารายย่อย ทั้งนี้ ไม่มีการนำสินทรัพย์ดิจิทัลไปใช้ชำระเงินค่าสินค้าและบริการ (Means of Payment) กับร้านค้า โดยร้านค้าจะได้รับชำระค่าสินค้าหรือบริการเป็นสกุลเงินบาท
ทั้งนี้ โครงการ TouristDigiPay เป็นการต่อยอดระบบนิเวศ (ecosystem) เดิมที่มีอยู่แล้วร่วมกัน ระหว่างระบบการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่อยู่ภายใต้กำกับดูแลของ ก.ล.ต. และระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-money) ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. ซึ่งมีการป้องกันความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยมีกระบวนการทำความรู้จักตัวตนของผู้ใช้บริการ (KYC/CDD) ตามเกณฑ์ของ ปปง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำหรับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและผู้ให้บริการ e-money
ขณะนี้ ก.ล.ต. อยู่ระหว่างปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และเปิดให้ผู้ประกอบธุรกิจเข้ามาหารือเพื่อเตรียมความพร้อม (pre-consultation) ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนส.ค. 2568 คาดว่า จะสามารถเริ่มให้บริการได้ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ และเมื่อโครงการสิ้นสุดลงจะมีการประเมินประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาต่อยอดเพิ่มเติมต่อไป
ขณะที่ นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กล่าวว่า ทาง ปปง. ได้ประสาน กลต. อย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว โดยกระบวนการนำเงินมาแลกเป็นเงินดิจิทัลนั้น มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า ด้วยการ KYC ตั้งแต่ต้นทาง และกรณีที่เปลี่ยนเงินบาทกลับไปเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลจะมีการตรวจสอบอีกครั้ง
“ ทาง ปปง. มั่นใจ ในกระบวนการทำงานของเรา ซึ่งเรามีการตรวจสอบต้นทาง พร้อมยืนยันว่า เรามีความพร้อม”