จับสัญญาณเงินลงทุนไหลไปตลาดใด ในวันที่หุ้นสหรัฐฯ ไม่หยุด All Time High
เริ่มเข้าสู่สิงหาคมเดือนแห่งวันแม่กันแล้ว ประเทศไทยมีวันหยุดเยอะจริงๆ แต่ในฐานะนักลงทุนไม่ว่าใครจะหยุดแต่เราไม่มีหยุดพักครับ จะต้องหาความรู้การลงทุนและพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เพราะโลกไม่หยุดนิ่ง แถมมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะโลกในยุคผู้นำ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ไม่มีใครคาดเดาความคิดเขาได้เลย
วันนี้ เรื่องใหญ่ของโลก ‘สงครามภาษี’ ฝุ่นหายตลบแล้ว เมื่อสหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีนำเข้าสินค้าใหม่ ใช้กับประเทศต่างๆ ทั่วโลกออกมาเป็นที่ชัดเจน (ยกเว้นจีน) โดยค่าเฉลี่ยภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) คู่ค้าสหรัฐฯ ทั่วโลกและเอเชียลดลงมาเหลือ 14% และ 17% ต่ำกว่าภาษีตอบโต้ไทยที่ 19% สอดคล้องกับหลายประเทศในอาเซียน ทำให้ไทยยังคงความสามารถในการแข่งขันด้านราคาในตลาดสหรัฐฯ ได้ โดยภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา
บรรยากาศเศรษฐกิจโลกผ่อนคลายมากขึ้น แม้โลกจะเริ่มเข้าสู่เกมระเบียบการค้าใหม่ (New World Order) ก็ตาม แต่เป็นสัญญาณที่ดีว่าเศรษฐกิจโลกสามารถดำเนินต่อไปได้ เพียงแต่รัฐบาลของแต่ละประเทศและภาคธุรกิจต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจะต้องปรับตัวกับบริบทใหม่ของโลก ซึ่งการปรับตัวถือเป็นเรื่องปกติของคนทำธุรกิจอยู่แล้วเพื่อให้คงความสามารถในการแข่งขันการค้าขายในตลาดสหรัฐฯ ต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการเจรจาสหรัฐฯ กับจีน ยังไม่จบเสียทีเดียว เนื่องจากจีนยังอยู่ในช่วงของการยืดเวลาออกไปได้ถึงกลางเดือนนี้ เพราะฉะนั้น เรายังต้องติดตามสถานการณ์การเจรจาในเร็วๆ นี้ต่อไป
วันนี้แม้ศึกสงครามภาษีตอบโต้จบลงแล้ว แต่ก็ยังมีเรื่องใหญ่ของโลกอีกเรื่อง คือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะส่งสัญญาณ ‘ลดดอกเบี้ยนโยบาย’ เมื่อไหร่ ซึ่งจะเกี่ยวพันโยงใยกับนโยบายภาษีการค้าใหม่ของสหรัฐฯ ที่ออกมาด้วย เนื่องจากวิตกกังวลว่านโยบายภาษีใหม่จะมีผลต่อการปรับตัวเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นมาจากฝั่งผู้ผลิต หรือด้านอุปทาน (Supply Side) แทน ซึ่งจะเป็นคนละภาพที่ไม่เหมือนเดิมกับช่วงที่ผ่านมา ที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจากฝั่งผู้บริโภค (Demand Side) เป็นหลัก
แรงกดดันจากคุณทรัมป์ ที่ต้องการให้ Fed ลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและลดภาระจ่ายดอกเบี้ยของหนี้ภาครัฐที่ท่วมตัวอยู่ทุกวันนี้
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา Fed ประกาศย้ำตลอดว่า การดำเนินนโยบายปรับลดดอกเบี้ยต้องระมัดระวังอย่างมาก โดยต้องติดตามข้อมูลที่จะเกิดขึ้นหลังการดำเนินนโยบายภาษีใหม่จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มเงินเฟ้อหลุดกรอบเป้าหมายอย่างไรบ้าง ก่อนจะดำเนินการพิจารณาตัดสินใจปรับนโยบายดอกเบี้ยเกิดขึ้น พร้อมกันนี้ Fed ยังระบุเองว่า หากทรัมป์ไม่มีนโยบายภาษีใหม่ออกมา Fed เชื่อว่า แนวโน้มเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 2% ได้และจะสามารถตัดสินใจลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไปแล้ว
แม้กระทั่งการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ครั้งล่าสุด (30-31 กรกฎาคม) มีมติเสียงแตก 9 ต่อ 2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกัน ท่ามกลางความเห็นที่แตกต่างกันภายในคณะกรรมการ แต่เสียงส่วนใหญ่ของคณะกรรมการยังคงเห็นว่านโยบายการเงินที่ ‘เข้มงวดปานกลาง’ ยังคงเหมาะสมในขณะนี้ ซึ่งสะท้อนว่า Fed ยังไม่รีบขยับการลดดอกเบี้ย หากเศรษฐกิจยังรับแรงกดดันจากภาษี และเงินเฟ้ออยู่
เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed ได้พูดถึงสัญญาณเตือนเศรษฐกิจเริ่มชะลอลงจากการบริโภคที่ลดลง ภาคอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯ ยังอ่อนแอ อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับ ‘ค่อนข้างสูง’ การเก็บอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ เริ่มดันราคาสินค้าขึ้นนโยบายภาครัฐมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย เพิ่มความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังคงมีอยู่มาก Fed จึงยังไม่เห็นเหตุผลชัดเจนในการรีบลดดอกเบี้ย
ทั้งนี้ ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของสหรัฐฯ ยังสูง 3% อัตราเงินเฟ้อเดือน มิถุนายน อยู่ที่ระดับ 2.7%
ภายหลังการประชุม Fed และการแถลงข่าวเสร็จสิ้นเจอโรม พาวเวลล์ เลี่ยงที่จะให้ความเห็นชัดเจนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้ และระบุว่า เจ้าหน้าที่ Fed จะพิจารณาจาก data‑dependent ข้อมูลเศรษฐกิจเป็นหลัก และให้มุมมองต่อเรื่องภาษีการค้าใหม่ยังมีประเด็นอีกมาก และตอนนี้ข้อมูลเศรษฐกิจยังไม่เพียงพอจะตัดสินเรื่องลดดอกเบี้ย โดยจะส่งสัญญาณเพิ่มเติมจากข้อมูลแรงงานและเงินเฟ้อในอีกสองเดือนข้างหน้า พร้อมระบุอีกว่า การที่ Fed ยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในตอนนี้ ก็เป็นการมองข้ามผลกระทบจากภาษีไปในระดับหนึ่งแล้ว พร้อมกับสังเกตว่า ราคาสินค้าบางหมวดหมู่ได้ปรับตัวสูงขึ้น
ท่ามกลางมุมมองของตลาดที่ปรับลดความคาดหวังหลังจากประธาน Fed ไม่ฟันธงเรื่องการปรับลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้ โดย FedWatch Tool ระบุโอกาสที่ Fed จะไม่ลดดอกเบี้ยในปีนี้ พุ่งขึ้นเป็น 25% ส่วนโอกาสลดดอกเบี้ย 1 ครั้งในปีนี้ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 27% และโอกาสลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ ลดลงจาก 40% เหลือ 33%
การส่งสัญญาณครั้งนี้ของพาวเวลล์ ทำให้นักลงทุนต้องเริ่มคิดใหม่? ตลาดที่เคยคาดหวัง ‘ดอกเบี้ยต่ำ’ อาจต้องปรับมุมมองอีกครั้ง นักลงทุนและผู้ประกอบการควรเตรียมรับมือกับอัตราดอกเบี้ยสูงยืดเยื้อ และภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนมากขึ้นในปีหน้า
ขณะที่ตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรตอบสนองเชิงลบทันที ส่วนค่าเงินดอลลาร์พลิกแข็งค่า โดยตลาดพันธบัตรปรับตัวลดลง หลังผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) อายุ 2 ปี เพิ่มขึ้น 0.07% แตะ 3.94% แม้แต่บอนด์ยีลด์ 10 ปีก็ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน หลังจากที่ Fed แสดงท่าทีไม่แน่นอนเรื่องการปรับลดดอกเบี้ย
ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ปรับตัวลดลงราว 0.3 – 0.4% ตลาดหุ้นปรับตัวลงติดต่อกันจนถึงต้นเดือนสิงหาคม หุ้นสหรัฐฯ ติดลบต่อเนื่อง ซึ่งไม่ได้เห็นมา 4 เดือนแล้ว และยิ่งตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร ออกมาแย่กว่าคาด ยิ่งส่งผลต่อหุ้นสหรัฐฯ ร่วงหนักมากที่สุดในรอบเกือบ 2 เดือน โดยดัชนี S&P 500 -1.3% และ Nasdaq -1.6% และทำให้ความคาดหวังจะเห็น Fed ลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายน กลับมาเป็นกระแสในตลาดอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนก็ยังมอง ‘ผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ปีนี้’ ของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาจนถึงกลางเดือนสิงหาคม
นักวิเคราะห์ต่างมองไปทิศทางเดียวกันว่า ผลประกอบการน่าจะดีกว่าคาด โดยน่าจะมีบริษัทจดทะเบียนราว 70% ใน S&P 500 ที่ประกาศผลประกอบการออกมาได้ดีกว่าคาด เนื่องจากแนวโน้มรายได้ของบริษัทกลุ่มเทคโนโลยี จะเพิ่มขึ้นจากการให้บริการเทคโนโลยี AI ที่ขยายไปทั่วโลก รวมถึงดอลลาร์ที่อ่อนค่าด้วย เพราะฉะนั้น หลายๆ บริษัทในกลุ่มเทคฯ น่าจะได้ประโยชน์ และบริษัทในอเมริกามีการใช้เทคโนโลยี AI กันจำนวนมาก ทำให้ต้นทุนลดลง เพราะฉะนั้น กำไรจะมากขึ้น
ผมมองโพซิทีฟกับหุ้นสหรัฐฯ ด้านผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าคาด แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หุ้นสหรัฐฯ ได้ปรับตัวขึ้นมาเกือบ 60% แล้ว หมายความว่า ราคาหุ้นสหรัฐฯ ยิ่งขึ้นสูง ก็ยิ่งมีความเสี่ยงสูงเหมือนกันครับ
ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังในการลงทุนมากด้วย แต่หากถามว่า หุ้นสหรัฐฯ จะร่วงลงแรงๆ ไหม ผมยังไม่เห็นภาพขนาดนั้นครับ จึงคิดว่าหุ้นสหรัฐฯ ยังไปได้ต่อ
แม้ตอนนี้ หุ้นสหรัฐฯ ‘ยังไม่อยู่ในภาวะฟองสบู่เต็มตัว’ แต่ก็มีสัญญาณเตือนบางอย่าง ที่ควร ‘จับตาใกล้ชิด’ โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี เช่น AI และหุ้นในกลุ่ม S&P 500 ที่ราคาพุ่งเร็ว ซึ่งที่ผ่านมา จะเห็นว่าทั้ง 2 ตลาด ทำ All-Time High ไม่พักตลอดครึ่งปีแรก ล่าสุด P/E ของ S&P 500 อยู่ที่ราว 22.5 – 23 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว จนทำให้หุ้นขึ้นจาก ‘พื้นฐานจริงบางส่วน’ โดยเฉพาะกลุ่ม AI หรือเทคโนโลยี
‘สัญญาณเตือน’ คืออะไรบ้าง ที่ต้องเฝ้าติดตาม?
ราคาหุ้นกระจุกในไม่กี่บริษัท ซึ่งกลุ่ม Magnificent 7 ปัจจุบันครองสัดส่วนใน S&P 500 เกือบ 35%ของทั้งตลาดแล้วครับ ข้อมูลล่าสุด ทั้ง 7 บริษัทบิ๊กเทคมีมูลค่ารวมกันพุ่งแตะ 19 ล้านล้านดอลลาร์ ทำสถิติสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์แล้วครับ หากในระยะข้างหน้ามี 1-2 บริษัทสะดุด อาจทำให้ทั้งตลาด ‘เปราะบาง’ ได้ครับ
Valuation บางกลุ่มเริ่มแพงเกินกำไรจริง อาทิ หุ้นกลุ่ม AI ใหม่ๆ เช่น Palantir, C3.ai หรือ startups อื่นๆ มีราคาพุ่งแรง แต่กำไรยังไม่มีจริง ซึ่งจะมีนักลงทุนบางส่วนที่หันไปลงทุนหุ้น AI ใหม่ๆ กันไม่น้อย
Margin debt ของนักลงทุนแตะระดับสูงเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ หากปัญหาเงินกู้เพื่อซื้อหุ้น (margin) เพิ่มสูงในระดับ ‘เสี่ยง’ และวันที่เกิด sentiment ตลาดเปลี่ยนทิศกะทันหัน อาจเกิด forced selling การขายออกแบบลูกโซ่ มีโอกาสพังทั้งตลาดได้ครับ
กองทุนทั่วโลกเริ่มทยอยขายหุ้นสหรัฐฯ ออก สะท้อนว่าผู้เล่นมืออาชีพมองว่าหุ้นสหรัฐฯ เริ่มมีความร้อนแรงเกินไป และอาจเผชิญความผันผวน ขณะที่ยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนทางนโยบายการค้าสหรัฐฯ ที่คุณทรัมป์จะทำอะไรต่อในระยะข้างหน้าที่คาดเดากันไม่ได้ และยังมีความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจในภาพรวม
มีคำถามว่ากองทุนขนาดใหญ่กำลังลดการถือหุ้นสหรัฐฯ จากความเสี่ยงใหญ่ๆ ข้างต้น แล้วเงินไหลไปตลาดไหนของโลก
ในช่วงหลังเกิดสงครามภาษี เงินไหลออกจากอเมริกาเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่
(Emerging Markets : EM) ค่อนข้างมาก และแนวโน้มในครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มที่จะเริ่มชนะตลาดกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ขณะที่ล่าสุด ดัชนี MSCI EM สูงขึ้นประมาณ 13-17% YTD
ตลาด EM น่าจะยังเป็นเป้าหมายของ flows ต่อเนื่อง ปัจจัยสนับสนุนหลักคือ ดอลลาร์ที่อ่อนค่า เงินเฟ้อลดลง การผ่อนคลายนยบายการเงินในฝั่งประเทศเกิดใหม่และแนวโน้มเศรษฐกิจมีโครงสร้างที่แข็งแรงกว่าฝั่งตะวันตก และหาก Fed มีการปรับลดดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด ก็จะยิ่งมีแนวโน้มที่เงินจะไปตลาด EM แรงขึ้น
ตลาดเกิดใหม่ที่มาแรงในปีนี้ คือ ตลาดหุ้นอินเดียในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มี ไหลเข้าราว 2.39 พันล้านดอลลาร์ เป็นระดับที่สูงที่สุด โดยมองว่า อินเดียมีการเติบโตในเชิงโครงสร้างสูง เช่น กลุ่มอะไหล่อิเล็กทรอนิกส์ การผลิต และภาคไอที ที่ดึงดูดนักลงทุนสถาบันต่างชาติ แนวโน้มตลาดอินเดียยังได้รับความสนใจต่อเนื่อง
จีนเป็นอีกประเทศที่มีแนวโน้มเงินไหลเข้าโดดเด่น ดัชนี MSCI China และ CSI 300 ได้รับความสนใจใหม่จากกองทุนต่างชาติ และอยู่ใน momentum การฟื้นตัว หลังความกังวลเรื่องสงครามการค้า และวิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์เริ่มคลี่คลาย
Goldman Sachs มองว่า การลงทุนในจีนจะกลับมาเด่นหลังปิดดีลกับสหรัฐฯ และคาดว่าจะเติบโตต่ออีกราว 11% จากระดับปัจจุบัน และมองว่าหุ้นเข้าใหม่ ( IPO) ตลาดใหญ่ที่ฮ่องกงมีบริษัทจากจีนแผ่นดินใหญ่และสิงคโปร์เข้าจดทะเบียนจำนวนมาก สนับสนุนการไหลของสภาพคล่องเข้าสู่ Greater China ครับ
ตลาดหุ้นเกาหลีใต้มีสัญญาณเงินต่างชาติไหลกลับมาลงทุนอีกครั้งตั้งแต่เดือนเมษายน หลังมีการปฏิรูปกฎหมายด้านสิทธิผู้ถือหุ้น (Value Up initiative) ซึ่งเข้าสภาในเดือนกรกฎาคม 2025 ประกอบกับค่า Forward P/E ปัจจุบันต่ำ ประมาณ 12.3 เท่า และกำไรบริษัทคาดจะเติบโต 18% ในปี 2569 ทำให้ตลาดยังดูน่าสนใจ แม้จะมีการปรับฐาน( recent correction) ประมาณ 4%ในช่วงก่อนหน้า
เวียดนามเป็นอีกตลาดที่ยังโดดเด่นส่องสว่างนำหน้าอาเซียนอยู่ เพราะเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในภูมิภาคนี้ แม้จะโดนสหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้า 20% แต่ด้วยความที่เป็นโรงงานผลิตอีกแห่งของโลกรองจากจีน และปีนี้ เงินลงทุนโดยตรง (FDI) ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จะมีสงครามการค้าเกิดขึ้น โดยนักลงทุนต่างชาติทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ยุโรป และสหรัฐฯ คงหลั่งไหลเข้าลงทุนเพื่อส่งออกสินค้าไฮเทค เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า โน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือ มากถึง 50% ของการส่งออกทั้งหมด
ล่าสุด เศรษฐกิจเวียดนาม ไตรมาส 2 นี้เติบโตถึง 7.96% สูงกว่าคาดการณ์ รัฐบาลเร่งปฏิรูปเศรษฐกิจสู่ดิจิทัลและลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
แต่อีกด้านของความเสี่ยงของเวียดนาม คือ พึ่งพาตลาดส่งออกสหรัฐฯ สัดส่วนสูง จึงทำให้เศรษฐกิจมีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีสหรัฐฯ เงินดองอ่อนค่าอาจกระทบดุลบัญชีเดินสะพัด เพราะฉะนั้นความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าและนโยบายสหรัฐฯ ยังเป็นความเสี่ยงหลัก
ปีนี้ ‘หุ้นเวียดนาม’ พลิกฟื้นกลับมาแรงที่สุดในรอบ 3 ปี! ช่วงนี้มีทั้งโอกาสทำกำไร เนื่องจาก ‘ตลาดหุ้นเวียดนาม’ คาดว่าจะได้ยกระดับจากตลาดชายขอบ (Frontier Market) ขึ้นเป็นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) จากดัชนี FTSE ในเดือนกันยายนที่จะถึง ซึ่งจะดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศเพิ่มน้ำหนักลงทุนมากขึ้น แต่ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติไหลเข้าไปล่วงหน้าแล้ว
โดยภาพรวมแนวโน้มการลงทุนยังมีความไม่แน่นอนสูงครับ ดูเหมือนบรรยากาศต่างๆ ดูคลี่คลายลงจากครึ่งปีแรกที่มีทั้งสงครามการค้า สงครามระหว่างพรมแดนภัยธรรมชาติที่รุมเร้า
ผมคงแนะนำทางออกที่จะทำให้คุณรอดทุกสภาวการณ์ คือ จัดพอร์ต Core & Satellite ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 พอร์ต โดยให้สร้างพอร์ตหลัก หรือ Core ขึ้นมาก่อน ดูว่าสินทรัพย์ที่ลงทุนกระจัดกระจายตัวไหนที่ใส่พอร์ตหลักนี้ได้ ส่วนพอร์ตรอง (Satellite) จะเป็นพอร์ตที่ใช้เก็งกำไรสร้างผลตอบแทนสูง
โดยพอร์ตหลัก Core ลงทุนสัดส่วน 80% ของพอร์ตรวม เน้นลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำทั่วโลก เช่น หุ้นสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น และพันธบัตร เพื่อสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง
ส่วนพอร์ตรองอย่าง Satellite 20% ลงทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ เช่น จีน เวียดนาม รวมถึงธีมเมกะเทรนด์ และตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น เทคโนโลยี AI ฟินเทค และสินทรัพย์ทางเลือกอย่างทองคำและคริปโทฯ ผมขอแนะนำว่า การลงทุนในพอร์ตนี้ ไม่ควรเกิน 20% เพราะหากเกิดขาดทุนหรือเสียหาย คุณยังมีพอร์ตหลักที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนกลับเข้ามาชดเชยได้ แต่หากใส่น้ำหนักเกินกว่านี้ โอกาสที่พอร์ตหลักจะช่วยกู้กลับมาให้เท่าจุดทุนเดิม จะทำได้ค่อนข้างยากครับ
นอกจากนี้ ผมแนะนำใส่เทคนิคสำคัญเข้าไป คือ การลงทุนแบบถัวเฉลี่ย (DCA) เพื่อรับมือความผันผวนระยะสั้น ซึ่งคุณจะต้องศึกษาหาความรู้เชิงลึกก่อนลงทุนทุกครั้ง เพราะ ตลาดใน ‘ช่วงวิกฤติ’ คือ โอกาสทองของนักลงทุนที่ ‘เลือก’ ลงทุนถูกจังหวะมากที่สุดแล้ว อย่างที่ คุณปู่ ‘Warren Buffett’ นักลงทุนในตำนาน บอกไว้ ‘จงโลภในยามที่คนอื่นกลัว จงกลัวในยามที่คนอื่นโลภ หรือแปลอีกความหมายง่ายๆ คือ ‘อย่าแห่ (ลงทุน) ตามฝูงชน’
สิ่งสำคัญที่ห้ามลืม! การ Rebalancing พอร์ต โดยเฉพาะหุ้นที่ปรับขึ้นมาก เช่น หุ้นสหรัฐฯ และเวียดนาม หรือสินทรัพย์ที่มีกำไรสูงจนทำให้พอร์ตใหญ่เกินสัดส่วนที่กำหนดไว้ การลงทุนระยะยาวด้วยสูตร Core & Satellite จะต้องรักษาสัดส่วนให้อยู่ระดับ 80:20 เพื่อที่จะได้ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด และ หากยังไม่มั่นใจจะเข้าลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์อื่นๆ ผมแนะนำพักเงินในตลาดเงินหรือตราสารหนี้โลก เพื่อรอจังหวะทยอยลงทุนเพิ่ม
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ควรลงทุนแบบ DCA (ถัวเฉลี่ย) เป็นทางเลือกที่ดี เพราะช่วยลดความเสี่ยงด้านต้นทุนที่คุณไม่มีทางรู้ได้ว่า เข้าลงทุนในตอนที่อยู่จุดสูงสุดหรือต่ำสุดกันแน่ และ DCA ยังสร้างพลังทบต้นในระยะยาวที่ดีด้วย
คนที่ DCA อย่างต่อเนื่อง 3-5 ปี จะเห็นพอร์ตเติบโตเร็ว แม้ว่าระหว่างทางจะเผชิญกับตลาดที่ผันผวนสูง แต่พอร์ตที่ DCA จะมีความผันผวนน้อยกว่าตลาด และเวลาที่ตลาดกลับสู่ภาวะปกติ พอร์ตของคุณจะฟื้นตัวกลับมาได้เร็วกว่าและมากกว่าคนที่ไม่ DCA ครับ
โลกการลงทุนเป็นตลาดเสรี ไม่มีใครรู้อนาคตได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อมีปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ เราก็ต้องใช้เครื่องมือ DCA เป็นตัวช่วยลดความเสี่ยงให้ได้มากที่สุด นี่คือสิ่งที่เราควบคุมได้มากกว่าที่จะไปควบคุมตลาด
ผมพิสูจน์มาแล้วว่าการ DCA ถือว่าเป็นผู้ชนะตัวจริงครับ