โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

เศรษฐกิจไทยจะเกิดวิกฤติหรือไม่ เรียนรู้จากวิกฤติปี 40

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 1 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา

พิจารณาจากสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2540 เป็นคำถามที่ดีมาก วันนี้จึงอยากแชร์ความเห็นผมเรื่องนี้กับแฟนคอลัมน์ “เศรษฐศาสตร์บัณฑิต” นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้

วิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 เป็นวิกฤติเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียที่หลายประเทศเกิดขึ้นพร้อมกัน เช่น ไทย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ถือเป็นวิกฤติเศรษฐกิจครั้งแรกของเศรษฐกิจโลกในยุคโลกาภิวัตน์ ที่มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศอย่างเสรี สร้างบทเรียนมากมายในเรื่องนโยบายและการบริหารเศรษฐกิจ ซึ่งที่สำคัญในความเห็นของผมคือ

1.เงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศที่มากและต่อเนื่องเป็นทั้งประโยชน์และความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ คือ ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวสูงเพราะสภาพคล่องที่มีมาก ขณะเดียวกันก็สร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจจากการเพิ่มขึ้นของการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด เงินเฟ้อ หนี้ต่างประเทศฟองสบู่ในราคาหุ้นและราคาอสังหาริมทรัพย์

นี่คือความอ่อนแอที่จะสะสมมากขึ้นๆ และปะทุเป็นวิกฤติได้ถ้าความอ่อนแอมีมาก รุนแรงและความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่นำเงินเข้ามาลงทุน และเจ้าหนี้ที่ปล่อยเงินกู้เปลี่ยนไปหรือหมดลง เงินทุนไหลเข้าเปลี่ยนเป็นไหลออก หรือการเรียกคืนเงินกู้อย่างฉับพลัน สร้างแรงกดดันต่อสภาพคล่องและอัตราแลกเปลี่ยน นี่คือกรณีประเทศไทยปี 2540

2.ต้นเหตุของวิกฤติเศรษฐกิจในทุกวิกฤติ คือ หนี้ หมายถึงการก่อหนี้ที่สูงเกินความสามารถของเศรษฐกิจที่จะชำระคืนได้ คือมี “หนี้เกินตัว” จนเจ้าหนี้ขาดความเชื่อมั่น ซึ่งกรณีประเทศไทยปี 2540 คือหนี้ต่างประเทศของภาคเอกชนที่สูงถึง 85.2 พันล้านดอลลาร์ ชี้ว่าวิกฤติเกิดขึ้นได้ถ้าประเทศมีหนี้มากและเกินตัว ไม่ว่าหนี้ที่ก่อจะเป็นหนี้ภาครัฐ หนี้ภาคธุรกิจหรือหนี้ครัวเรือน

ที่สำคัญวิกฤติสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกประเทศ ไม่ว่าประเทศพัฒนาแล้วหรือกำลังพัฒนา มีระบบการเงินที่เข้มแข็งหรืออ่อนแอ มีระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่หรือลอยตัว มีทุนสำรองทางการมากหรือน้อยวิกฤติเกิดขึ้นได้ทุกกรณีถ้าประเทศมีหนี้เกินตัวและประเทศสูญเสียความเชื่อมั่นของนักลงทุน

ตัวอย่างคือวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 2551 ที่สหรัฐนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจการเงินโลก สหรัฐเป็นประเทศพัฒนาแล้วอันดับหนึ่งของโลก มีระบบการเงินที่เข้มแข็ง อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวและทุนสำรองมีมากมาย แต่ก็เกิดวิกฤติเพราะหนี้ภาคเอกชนที่มีมากโดยเฉพาะหนี้อสังหาริมทรัพย์ที่สูงกว่า 10.5 ล้านล้านดอลลาร์หรือกว่า 100% ของจีดีพี และวิกฤติเกิดขึ้นเมื่อความเชื่อมั่นของตลาดการเงินเปลี่ยน ตอกย้ำความสำคัญว่าหนี้คือสาเหตุของวิกฤติเศรษฐกิจ

3.การหลีกเลี่ยงไม่ให้ประเทศเกิดวิกฤติต้องมาจากการรักษาวินัยการเงินการคลัง ไม่ให้ภาครัฐกู้เงินก่อหนี้จนเกินกำลัง บริหารผลต่อเศรษฐกิจของเงินทุนไหลเข้าด้วยนโยบายการเงินที่ยืดหยุ่นและสมดุล เพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจใช้จ่ายเกินตัวและลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาด้านเสถียรภาพ พัฒนาระบบการเงินให้เข้มแข็ง และปฏิรูปภาคเศรษฐกิจจริงที่จะสร้างพื้นฐานที่ให้เศรษฐกิจเติบโตและประชาชนมีรายได้ ซึ่งจะลดโอกาสของการเกิดปัญหาหนี้และวิกฤติเศรษฐกิจ

นี่คือสามบทเรียน ซึ่งหลังวิกฤติปี 2540 ประเทศในเอเชียก็เดินตามบทเรียนนี้ ใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่นขึ้น ปฏิรูประบบการเงินและภาคเศรษฐกิจจริง ผลคือเศรษฐกิจในเอเชียฟื้นตัวได้เร็ว รอดพ้นและปลอดภัยจากผลกระทบของวิกฤติเศรษฐกิจโลกปี 2551

ประเทศที่ไปได้ดีสุดหลังวิกฤติเศรษฐกิจเอเชียปี 2540 คือ เกาหลีใต้ ที่เปลี่ยนตนเองจากประเทศกำลังพัฒนาที่เกิดวิกฤติมาเป็นประเทศพัฒนาแล้วอันดับที่ 12 ของโลกด้วยการปฏิรูปเศรษฐกิจที่ทำจริงจังและต่อเนื่อง โดยทำทั้งสี่ด้านคือ ระบบอัตราแลกเปลี่ยน ระบบการเงิน ภาคเศรษฐกิจจริงและธรรมาภิบาล

ส่วนไทยกับอินโดนีเซียทำเฉพาะสองด้านแรกหลังวิกฤติปี 2540 คือ อัตราแลกเปลี่ยนและระบบการเงิน ทำให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพแต่ไม่เติบโต อินโดนีเซียมาเริ่มปฏิรูปภาคเศรษฐกิจจริงและธรรมาภิบาลเมื่อ 10 ปีที่แล้ว สมัยประธานาธิบดีโจโควี ทำให้เศรษฐกิจพุ่งทะยานหลังจากนั้น ขยายตัวเฉลี่ย 5% ต่อปีถึงปัจจุบัน

ขณะที่ประเทศไทยไม่ทำอะไรเลย ไม่ปฏิรูปภาคเศรษฐกิจจริงและธรรมาภิบาลช่วง 28 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจจึงไม่ไปไหนเทียบกับประเทศอื่นๆ ไม่มีการลงทุน ไม่มีนวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐานไม่พัฒนาดีขึ้น ปัญหาธรรมาภิบาลและการทุจริตคอร์รัปชันรุนแรงขึ้น ซ้ำเติมด้วยปัญหาการเมืองในประเทศที่มีต่อเนื่องกว่า 20 ปี ไทยจึงเป็นประเทศเดียวที่ออกมาแย่สุดหลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ที่อัตราการขยายตัวต่ำต่อเนื่องและปัจจุบันต่ำสุดในภูมิภาค

ต่อคำถามว่า ประเทศไทยจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจหรือไม่ ผมมีข้อสังเกตดังนี้

1.วิกฤติเศรษฐกิจในลักษณะเศรษฐกิจขาดเสถียรภาพเพราะเงินทุนไหลเข้ามาก มีหนี้ต่างประเทศมาก นำไปสู่ภาวะฟองสบู่และฟองสบู่แตก คงไม่เกิดขึ้น เพราะปัจจุบันไม่มีเงินทุนไหลเข้า ไม่มีฟองสบู่ ระบบอัตราแลกเปลี่ยนยืดหยุ่น และทุนสำรองทางการมีมากพอแต่วิกฤติที่อาจเกิดขึ้น จะเป็นผลจากความอ่อนแอของเศรษฐกิจที่มีต่อเนื่องและไม่มีการแก้ไข พัฒนาไปสู่ภาวะตกต่ำรุนแรงของเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไม่ขยายตัว กระทบรายได้และความสามารถในการชำระหนี้

ดังนั้น จุดที่ต้องระวังคือระดับหนี้ในระบบเศรษฐกิจทั้งหนี้ภาครัฐ หนี้ภาคธุรกิจและหนี้ครัวเรือน ซึ่งปัจจุบันหนี้ทั้งสามกลุ่มอยู่ในเกณฑ์สูง หนี้ภาครัฐล่าสุดอยู่ที่ 64% ของจีดีพี หนี้ครัวเรือนที่ 88% ของจีดีพี และหนี้ภาคธุรกิจที่ประมาณ 80% ของจีดีพี หนี้เหล่านี้ถ้าสูงมากขึ้นไปอีกก็อาจสร้างปัญหาความสามารถในการชำระหนี้ ถ้าเศรษฐกิจตกต่ำ ทุกส่วนไม่มีรายได้ เกิดปัญหาชำระหนี้ทั้งระบบ หรืออัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้นนี่คือความเสี่ยงที่จะนำประเทศไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจ

ในสามกลุ่มนี้ หนี้ภาคธุรกิจและหนี้ครัวเรือนจะมีกลไกตลาดควบคุมอยู่ทำให้การก่อหนี้เพิ่มจะไม่ง่าย คือธนาคารไม่ปล่อยกู้ ต่างกับหนี้ภาครัฐที่กลไกควบคุมไม่มี หรือมีเช่นเพดานหนี้แต่อาจไม่มีวินัยเพราะเป็นการตัดสินใจของนักการเมือง นี่คือเหตุผลทำไมไอเอ็มเอฟห่วงฐานะการคลังประเทศไทย และแนะนำให้ลดเพดานหนี้ภาครัฐกลับมาที่ 60% ของจีดีพี

2.การแก้ไขปัญหาหนี้หรือลดความเสี่ยงของวิกฤติเศรษฐกิจที่ดีสุดคือ ทำให้เศรษฐกิจเติบโต ให้ขยายตัวได้สูงขึ้น เศรษฐกิจที่ขยายตัวดีขึ้นจะลดความเสี่ยงและผ่อนคลายทุกอย่าง การทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตจากจุดปัจจุบันต้องทำโดย“การปฏิรูปเศรษฐกิจ” เท่านั้น ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะทางเลือกอื่นได้มาถึงจุดที่เลยพื้นที่ปลอดภัยไปแล้ว ไม่ว่าการลดดอกเบี้ย การกระตุ้นเศรษฐกิจ และการก่อหนี้ ซึ่งทั้งหมดคือการแก้ปัญหาด้านอุปสงค์ การปฏิรูปคือการแก้ปัญหาด้านอุปทานของเศรษฐกิจ มุ่งไปที่ผลิตภาพ ความสามารถในการผลิต คุณภาพแรงงานและธรรมาภิบาล

ในการสัมภาษณ์ผมเปรียบเศรษฐกิจไทยเหมือนรถยนต์เก่า ที่มีปัญหามากต้องซ่อมต้องยกเครื่องเพื่อให้รถวิ่งได้เร็วขึ้น แต่ที่ผ่านมาคนขับจะเอาแต่เติมน้ำมันและเหยียบคันเร่ง ไม่ซ่อมหรือแก้ปัญหา รถจึงวิ่งช้า ไปไหนได้ไม่ไกลเทียบกับรถคันอื่น ปัจจุบันถนนขรุขระขึ้น ลมต้านมากขึ้น น้ำมันก็มีน้อย รถจึงเหมือนจอดสนิท ล่าสุดคนขับก็ไม่อยู่ ผู้โดยสารลงจากรถและเถียงกันว่าจะเอาอย่างไงต่อ จะรอคนขับกลับมาและไปอย่างเดิม หรือจะจับมือพร้อมใจกันลงมือซ่อมรถทันทีเพื่อไปต่อ

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก กรุงเทพธุรกิจ

กรุงเทพธุรกิจ CEO of the Year สร้างส่วนร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

42 นาทีที่แล้ว

'การ์ทเนอร์' เผย 'AI Agents’ อาวุธลับ เปลี่ยนเกมการตัดสินใจธุรกิจ

44 นาทีที่แล้ว

‘สิงคโปร์’ เตรียมแจกเงิน 22,000 บาท ให้ ‘กลุ่มรายได้น้อย-ปานกลาง’ 1.5 ล้านคน

44 นาทีที่แล้ว

'โออาร์-บางกอกแอร์เวย์ส' นำร่องใช้น้ำมัน SAF ยกระดับการบินสู่ความยั่งยืน

55 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไอที ธุรกิจอื่น ๆ

สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนมิถุนายน 2568

สยามรัฐ

‘เอกนัฏ’ ส่ง “มอก.วอทช์” AI สแกนสินค้าไม่ได้มาตรฐาน พร้อมโปรเดือด 7.7 จ่อฟันแพลตฟอร์มออนไลน์ 777 คดี

THE STATES TIMES

LH Bank เดินหน้ารุกตลาดลูกค้าไต้หวันและลูกค้าต่างชาติ ออกโปรโมชันพิเศษโอนเงินไปต่างประเทศฟรีค่าธรรมเนียม

สยามรัฐ

LH Bank รุกตลาดลูกค้าไต้หวัน-ต่างชาติ ออกโปรโมชันโอนเงินไปตปท.ฟรีค่าธรรมเนียม

ทันหุ้น

M-150 จับมือ Guss Damn Good เสิร์ฟซอร์เบต์สุดจี๊ด ต่อยอดพลังแบรนด์สู่ประสบการณ์ใหม่แบบไม่มีลิมิต

สยามรัฐ

CPF เตรียมออกหุ้นกู้ชุดใหม่ ชูอันดับความน่าเชื่อถือระดับ “A” พร้อมให้สิทธิแก่ผู้ถือหุ้นกู้ปัจจุบันจองซื้อได้ก่อน

Wealthy Thai

TCM Corporation ฉลองความสำเร็จรีไซเคิลครบ 1 พันล้านขวด กับแคมเปญ “Beyond One Billion” ตอกย้ำพันธกิจสู่โลกที่ยั่งยืน

Wealthy Thai

M-150 จับมือ Guss Damn Good เสิร์ฟซอร์เบต์สุดจี๊ด ต่อยอดพลังแบรนด์สู่ประสบการณ์ใหม่แบบไม่มีลิมิต

Wealthy Thai

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...