รายย่อย-ขนส่งไทยอ่วม! ห่วง TikTok ผูกขาดอีคอมเมริซ์ แย่งกำไรดิ่ง
นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ผู้เชี่ยวชาญด้าน อีคอมเมิร์ซ และเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกวงการอีคอมเมิร์ซไทย ผู้ก่อตั้ง TARAD.com และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพย์ โซลูชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ภาษีทรัมป์ จะส่งผลให้สินค้าจีนที่ไม่มีคุณภาพทะลักเข้าไทยมากขึ้น โดยเฉพาะการเข้ามาผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ ซึ่งขณะนี้ยอมรับว่าตลาดอีคอมเมิร์ซถูกผูกขาดโดยแพลตฟอร์มชื่อดังอย่างTikTok ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายย่อย รวมถึงขนส่งไทยอย่าง บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด หรือ ปณท. เช่นเดียวกันด้วย
ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา TikTok เติบโตขึ้นอย่างมาก โดยใช้กลยุทธ์การดึงดูดผู้ใช้ด้วยคอนเทนต์และวิดีโอสั้น เมื่อผู้คนเข้าดูเนื้อหาในแพลตฟอร์มดังกล่าวมากขึ้น TikTok ก็สอดแทรกคอมเมิร์ซเข้ามา ทำให้เกิดการค้าขึ้น ทำให้ได้เปรียบ Lazada และ Shopee เนื่องจากมี "ทราฟฟิก" หรือการเข้าชม ที่ผู้คนเข้ามาดูอยู่แล้วทุกวัน
TikTok มีการใช้ Affiliate Marketing ด้วยการใช้อินฟลูเอนเซอร์ ช่วยขายสินค้า และได้รับส่วนแบ่งในการขาย เมื่อ อินฟลูเอนเซอร์ ขายของได้และ TikTok เติบโตขึ้น ก็เริ่มมีมาตรการควบคุมจัดการเจ้าของร้านมากขึ้น ทำให้คนไทยหรือผู้ค้ารายย่อยที่อาศัยแพลตฟอร์มดังกล่าวเป็นช่องทางขายหลักต้องยอมรับเงื่อนไขที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไม่สามารถปฎิเสธได้ เพราะมีรายได้จากช่องทางนี้
“ผู้ค้าจำนวนมากขายของจนไม่มีกำไร เนื่องจากต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่น ค่าโฆษณา และ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ” นายภาวุธ กล่าว
นอกจากนี้ TikTok ยังเริ่มผูกขาดการขนส่งกับ บริษัท โกลบอล เจท เอ็กซ์เพรส (ไทยแลนด์) จำกัด ภายใต้แบรนด์ J&T จากเดิมที่มีผู้ประกอบการขนส่งหลายราย ซึ่งไม่แน่ใจว่าดีลนี้เกิดขึ้นเพราะราคาถูกกว่า หรือ เป็นบริษัทจีนด้วยกัน ส่งผลให้บริษัทขนส่งในไทย เช่น ไปรษณีย์ไทย ได้รับผลกระทบ
นายภาวุธ กล่าวว่า TikTok กลายเป็นแพลตฟอร์มที่สินค้าจีนหลั่งไหลเข้ามามหาศาล และเพื่อต้องการขายสินค้าจีน ให้ได้มากที่สุด การเลือกใช้ อินฟลูเอนเซอร์ คนไทยในการโปรโมท โดยเสนอคอมมิชชั่นในราคาสูง ทำให้ อินฟลูเอนเซอร์ หันไปโปรโมทสินค้าจีนเป็นหลัก ส่งผลให้ผู้ขายคนไทยที่นำเข้าหรือผลิตสินค้าเองไม่สามารถแข่งขันได้ อีกทั้งยังเริ่มพบปัญหาเรื่องมาตรฐานสินค้าจำนวนมากที่มาจากจีนอีกด้วย
นอกจากนี้ TikTok ยังมีการปิดกั้นข้อมูลลูกค้าของผู้ขาย เช่น ชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ โดยอ้างว่ากลัวลูกค้าจะย้ายหนี หรือร้านค้าจะคัดลอกข้อมูลลูกค้าไปใช้ส่วนตัว ทั้งที่ข้อมูลเหล่านั้นเป็นสิทธิ์ของเจ้าของร้านค้า และยังอ้างเรื่อง PDPA ซึ่งเรื่องนี้ไม่เป็นธรรมกับผู้ค้ารายย่อย
“TikTok กำลังเริ่มเข้าสู่เกมการผูกขาดและเพิ่มค่าบริการขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ภาครัฐยังไม่ได้เข้ามาสอดส่องดูแลอย่างเต็มที่ นอกจากสินค้าจีนที่หลั่งไหลเข้ามามากแล้ว ระบบ Supply Chain และการขนส่งก็เลือกบริษัทจีนด้วยกันเอง ซึ่งถือเป็นการเข้าข่ายเอาเปรียบและการใช้อำนาจเหนือตลาดในการควบคุม” นายภาวุธ กล่าว
ดังนั้นผู้ประกอบการรายย่อย จึงไม่ควรผูกขาดอยู่บนแพลตฟอร์มเดียว ควรกระจายการขายไปยังหลายแพลตฟอร์มเพื่อสร้างความสมดุล ต้องสร้างช่องทางของตัวเอง เช่น มีเว็บไซต์ของตัวเอง มีระบบแชทหรือเซลล์เพจ เพื่อดึงลูกค้าใหม่จาก Marketplace แล้วขายซ้ำลูกค้าเก่าในช่องทางของตนเอง
นายภาวุธ กล่าวอีกว่า การที่สินค้าต่างชาติเข้ามาขายและนำเงินออกไป โดยไม่มีกฎหมายที่เข้มแข็งมารองรับ ทำให้ไทยอาจกลายเป็นเพียงทางผ่าน และถูกมองว่าเป็นประเทศที่อ่อนแอที่สุดในเรื่องกฎหมาย เมื่อเทียบกับอินโดนีเซียหรือมาเลเซียที่มีกฎหมายป้องกันที่ดีกว่า ในส่วนของภาครัฐยังขาดตัวกลางที่จะมาจัดการเรื่องนี้ หน่วยงานภาครัฐแต่ละแห่งทำงานแบบไร้ทิศทางและกระจัดกระจาย โดยไม่มีใครเป็นเจ้าภาพหลัก ดังนั้นควรมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าภายใน), หน่วยงานที่ทำเกี่ยวกับกฎหมายแพลตฟอร์ม ซึ่งมี สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) , และสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) เข้ามาควบคุมการให้บริการเหล่านี้ และควรทำงานร่วมกับหน่วยงานเอกชน รวมถึงผู้ประกอบการ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ต้องมีการควบคุมสินค้าจากต่างประเทศที่ไม่มีคุณภาพและไม่ได้มาตรฐานไม่ให้เข้ามาในประเทศ และบังคับจดทะเบียนในประเทศไทยอย่างถูกต้อง เพื่อไม่ให้ใช้ช่องว่างทางกฎหมายนำเงินออกไปนอกประเทศ.