เอสซีจี เผยแผนครึ่งปีหลังใช้ฐานผลิตในอาเซียน แก้เกมกำแพงภาษีสหรัฐ
เอสซีจี ชี้ครึ่งแรกของปี 68 กระแสเงินสดแข็งแกร่ง โต 21% จากการปรับพอร์ตลงทุน การหยุดธุรกิจไม่ทำกำไร เผยแผนครึ่งปีหลังใช้ฐานผลิตในอาเซียน แก้เกมกำแพงภาษีสหรัฐ พร้อมลุยลดต้นทุนแข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก
31 ก.ค. 2568 - นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ เอสซีจี เปิดเผยว่า ครึ่งปีแรกของปี 2568 กระแสเงินสด (EBITDA) แข็งแกร่งขึ้น อยู่ที่ 30,320 ล้านบาท ดีขึ้นกว่าครึ่งปีหลังของปี 2567 ที่ 21% จากการปรับพอร์ตลงทุน การหยุดธุรกิจไม่ทำกำไร และการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของทุกธุรกิจ โดยธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง บริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ธุรกิจแพคเกจจิ้ง (เอสซีจีพี) ปรับแผนผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ บริหารต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล ร่วมกับใช้เทคโนโลยีและ AI เพิ่มประสิทธิภาพจัดการต้นทุนได้ดี และธุรกิจเคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ (Gap) เริ่มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากต้นทุนราคาน้ำมันดิบที่ลดลง นอกจากนี้ เอสซีจี ยังมีรายได้เงินปันผลรับต่อเนื่อง
"ด้านกำแพงภาษีนำเข้าจากสหรัฐ ถ้าไทยได้ใกล้กับเวียดนามที่ประมาณ 20% ก็จะสบายใจ แต่ก็ยังมีอีกหลายประเด็นจะต้องจับตามิง โดยเฉพาะการทำให้โลคอลคอนเทนต์อยู่ในเกณฑ์ที่จะให้ได้ภาษีทรัมป์ แต่ต้องยอมรับว่ายังไงก็เป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้นจากครึ่งปีแรก ที่เราโดนภาษีเพียง 10% เท่านั้น และหากขึ้นเป็น 20% ก็เพิ่มขึ้นมากว่าเท่าตัว การปรับตัวจะเกิดขึ้นอย่างมากในเดือนหน้า เพราะต้องรองรับการปรับทางภาษี แต่หากการเจรจาไม่ลงตัวและภาษียังสูงอยู่เท่ากับที่สหรัฐประกาศมาคือ 36% ก็จะยิ่งสร้างผลกระทบให้กับเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้น ขณะที่ SCG เอง ก็ต้องปรับตัวเช่นกัน โดยมองว่าจะขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทษ non-us มากขึ้น และใช้กลไกของภาษีในประเทศอย่างเวียดนาม อินโดนีเซีย หรือฟิลิปปินส์ ในการส่งผ่านสินค้าไปยังสหรัฐมากขึ้น ส่วนในไทยจะรักษาฐานอาเซียนไว้" นายธรรมศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ มองว่าสถานการณ์ครึ่งปีหลังของปี 2568 ยังท้าทายอยู่มาก จากเศรษฐกิจไทย อาเซียน และโลก ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และราคาพลังงานผันผวน เอสซีจี จึงเร่งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจ เพื่อสู้กับทุกความท้าทายดังกล่าว ได้แก่ 1. ชูฐานผลิตหลากหลายในอาเซียน ซึ่งเป็นความแข็งแกร่งและได้เปรียบของเอสซีจี โดยเน้นผลิตและส่งออกจากเวียดนามที่ได้รับอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ได้เปรียบอยู่ที่ 20% และมีต้นทุนที่แข่งขันได้ ประกอบกับเป็นฐานการบริโภคที่มีศักยภาพเติบโตสูง เช่น เอสซีจีซี เตรียมแผนกลับมาดำเนินการเชิงพาณิชย์โรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ เวียดนาม (LSP) ในช่วงปลายเดือนส.ค. 2568
ขณะที่โครงการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วยวัตถุดิบก๊าซอีเทนของ LSP คืบหน้าตามแผน คาดแล้วเสร็จปี 2570 เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ขยายฐานผลิตปูนคาร์บอนต่ำในเวียดนามใต้กำลังการผลิตสูงสุด 8,000 ตันต่อวัน รองรับตลาดเวียดนาม และส่งออกไปสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย ทวีปโอเชียเนีย เอสซีจี เดคคอร์ เพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลนที่เวียดนาม ซึ่งเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูง อีกทั้งบริหารต้นทุนการผลิตกระเบื้องให้แข่งขันกับผู้เล่นระดับโลกได้ และ เอสซีจีพี เดินหน้าเสริมแกร่งของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรในเวียดนาม ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์กระดาษ บรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ จนถึงบรรจุภัณฑ์อาหาร
นอกจากนี้ เอสซีจี ยังมองหาโอกาสในตลาดอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น ทวีปแอฟริกา มีการขยายตลาดปูนเม็ด (Cement Clinker) ของเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล ทวีปเอเชีย มีการขยายตลาด 3D Printing Solution เพื่อการก่อสร้างเสร็จไว ไร้ Waste ไปญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย มาเลเซีย ทวีปโอเชียเนีย มีการขยายตลาดหลังคาและฝาฝ้า ที่พัฒนาคุณสมบัติให้เหมาะกับลูกค้าออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง การขยายตลาดปูนเอสซีจี คาร์บอนต่ำ Gen 1 และ 2 ซึ่งได้รับการรับรอง มอก.ใหม่ 2594-2567 และ Environmental Product Declaration (EPD) North America รายแรกของไทย ไปออสเตรเลีย
2. ลดต้นทุน แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก โดยการใช้หุ่นยนต์และ AI เช่น เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ใช้หุ่นยนต์บรรจุปูนซีเมนต์และลำเลียงไปยังคลังสินค้า และใช้ระบบจัดเก็บและเบิกจ่ายสินค้าอัตโนมัติ ช่วยจัดสินค้าไปยังรถขนส่ง รวมทั้งร่วมกับพาร์ทเนอร์ พัฒนารถบรรทุกไฟฟ้าขนส่งในเหมือง แบบไร้คนขับเป็นรายแรกในไทย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ใช้ระบบอัตโนมัติผลิตกระเบื้องและครอบหลังคา และแผ่นฝ้าผนังสมาร์ทบอร์ด ทำให้ได้สินค้าคุณภาพมาตรฐาน ลดค่าใช้จ่ายจากของเสียในกระบวนการผลิต และลดต้นทุนบริหารจัดการ
นอกจากนี้ ได้เริ่มใช้ AI ช่วยลดขั้นตอนออกแบบและพัฒนาสินค้าใหม่ เอสซีจี เดคคอร์ ใช้ระบบอัตโนมัติเคลื่อนย้ายชิ้นงานกระเบื้องและสุขภัณฑ์ในกระบวนการผลิตและบรรจุ รวมทั้งใช้ AI ช่วยออกแบบสินค้า จำลองกระบวนการก่อนผลิตจริง ตรวจสอบคุณภาพ รวมถึงบริหารคลังสินค้า และ เอสซีจีซี ใช้หุ่นยนต์บริหารจัดการโรงงาน เทียบเท่าระดับ Best in Class ของโลก และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เพื่อลดระยะเวลาในการพัฒนาพอลิเมอร์ และ การลดต้นทุนบริหารจัดการ จากการรวมศูนย์การผลิตของโรงงานที่มีความซ้ำซ้อน
และ 3. ดันสินค้า Smart Value - HVA - Green รุกตลาดเติบโตสูง โดยเร่งขยาย สินค้าราคาคุ้มค่า (Smart Value Products - SVP) ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน รวมถึงสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products - HVA) และโซลูชัน และสินค้ากรีน (Green Products)
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 2/2568 SCG บริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียน ลดลง 7,164 ล้านบาท จากไตรมาส 1/2568 หนี้สินสุทธิ ลดลง 8,365 ล้านบาท จากสิ้นไตรมาส 1/2568 และมีเงินสดคงเหลือ ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 45,542 ล้านบาท ด้านผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2568 เอสซีจี มีรายได้ 249,077 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 18,436 ล้านบาท ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการพิเศษจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ จะมีกำไรอยู่ที่ 3,266 ล้านบาท