เจาะลึกฝีมือการเงินของ"วิทัย รัตนากร" จากนกแอร์สู่ผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่
เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 คณะรัฐมนตรีได้มีมติแต่งตั้งนายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ เพื่อทดแทนนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ที่จะครบวาระในวันที่ 30 กันยายน 2568 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568
การแต่งตั้งครั้งนี้มิได้เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารธนาคารกลาง แต่สะท้อนถึงการเลือกผู้นำที่มีประสบการณ์หลากหลายในการแก้ไขปัญหาทางการเงินและการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อสังคม โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เผยว่าเรื่องสำคัญที่ผู้ว่าฯ คนใหม่จะต้องเร่งดำเนินการคือ "การแก้ไขปัญหาหนี้ ซึ่งจะต้องเร่งแก้ไขให้เร็วที่สุด"
เส้นทางอาชีพ ‘วิทัย รัตนากร’ ที่หลากหลาย: จากภาคเอกชนสู่รัฐวิสาหกิจ
ช่วงนกแอร์: การก้าวสู่ตลาดทุน
ประสบการณ์สำคัญในช่วงแรกของนายวิทัย คือการดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่สายการเงิน (CFO) ของบริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) ระหว่างปี 2554-2557 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่เขาได้พิสูจน์ความสามารถในการบริหารการเงินขององค์กรขนาดใหญ่
ภายใต้การนำของเขา นกแอร์ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2556 ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการระดมทุนเพื่อการขยายธุรกิจ
ฐานเศรษฐกิจตรวจสอบข้อมูลทางการเงินพบว่า บริษัทมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นจาก 1,385 ล้านบาทในปี 2553 เป็น 6,271 ล้านบาทในปี 2556 หรือเติบโตกว่า 4 เท่า
ในช่วงที่ขาเป็น CFO รายได้รวมของบริษัทนกแอร์ก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง จาก 4,191 ล้านบาทในปี 2553 เป็น 11,314 ล้านบาทในปี 2556 และเพิ่มเป็น 12,312 ล้านบาทในปี 2557 ซึ่งสะท้อนถึงการขยายตัวของธุรกิจสายการบินในช่วงนั้น
อย่างไรก็ตาม การบริหารการเงินในภาคการบินที่มีความผันผวนสูง ประกอบกับปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในสมัยรัฐบาล ยิ่งลักษร์ ชินวัตร จนนำไปสู่การรัฐประหาร ในปี 2567 ทำให้บริษัทประสบกับการขาดทุน 665 ล้านบาทในปี 2557 จากกำไร 1,066 ล้านบาทในปี
จากนั้นในปี 2568 - 2561นายวิทัย ได้ย้ายไปทำงานที่ธนาคารออมสิน ในตำแหน่งรองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กลุ่มลงทุนและบริหารการเงิน (Chief Financial Officer) และรองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กลุ่มลูกค้าธุรกิจและภาครัฐ
การแก้ไขปัญหาธนาคารอิสลาม: ผู้เปลี่ยนขาดทุนเป็นกำไร
ขณะที่ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน นายวิทัย ได้รับมอบหมายให้ไปช่วยแก้ไขปัญหาในฐานะกรรมการและรักษาการผู้จัดการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ระหว่างปี 2560-2561 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายมาก
ธนาคารอิสลามในขณะนั้นกำลังประสบปัญหาการขาดทุนอย่างหนัก โดยมีผลการดำเนินงานขาดทุนมหาศาลถึง 3,410 ล้านบาทในปี 2559 และยังคงขาดทุนต่อเนื่องอีก 289 ล้านบาทในปี 2560
ความสามารถในการแก้ไขปัญหาของนายวิทัย ปรากฏชัดเจนเมื่อธนาคารสามารถหันมาทำกำไรได้ 671 ล้านบาทในปี 2561 ซึ่งเป็นการพลิกผันสถานการณ์จากขาดทุนเป็นกำไรภายในเวลาเพียง 2 ปี การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้สะท้อนถึงทักษะในการบริหารจัดการในสถานการณ์วิกฤตและความเข้าใจในระบบการเงินอิสลามที่ลึกซึ้ง
บทบาทในกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ: การบริหารเงินล้านล้าน
ระหว่างปี 2561-2563 นายวิทัย ได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือกบข. ซึ่งเป็นกองทุนขนาดใหญ่ที่มีสินทรัพย์กว่าล้านล้านบาท
ผลงานในช่วงนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารสินทรัพย์ขนาดใหญ่ โดยในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง สินทรัพย์รวมของกองทุนเติบโตอย่างต่อเนื่องจาก 882,404 ล้านบาทในปี 2561 เป็น 1,038,852 ล้านบาทในปี 2563 หรือเติบโตกว่า 18% ในระยะเวลา 2 ปี
รายได้จากการลงทุนสุทธิในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งมีความมั่นคงในระดับสูง โดยในปี 2561 อยู่ที่ 23,066 ล้านบาท ปี 2562 อยู่ที่ 23,850 ล้านบาท และปี 2563 อยู่ที่ 23,567 ล้านบาท แม้ในช่วงที่ตลาดการเงินมีความผันผวน ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหารยังคงอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล ระหว่าง 1,200-1,400 ล้านบาทต่อปี
การบริหารจัดการกองทุนขนาดใหญ่นี้ได้ให้ประสบการณ์สำคัญในด้านการลงทุนระยะยาวและการบริหารความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอการลงทุนที่หลากหลาย ซึ่งเป็นทักษะที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้บริหารธนาคารกลาง
ธนาคารออมสิน: การปฏิรูปเป็น "ธนาคารเพื่อสังคม"
วิสัยทัศน์ใหม่และการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์
ตั้งแต่ปี 2563 ที่นายวิทัย รัตนากร เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เขาได้ริเริ่มการปรับเปลี่ยนจุดยืนทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญ โดยพลิกบทบาทธนาคารมาเป็น "ธนาคารเพื่อสังคม" ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากการเป็นธนาคารพาณิชย์ธรรมดา
แนวคิดหลักคือการทำธุรกิจธนาคารปกติเพื่อนำกำไรเชิงพาณิชย์มาใช้สนับสนุนการทำภารกิจเชิงสังคม โดยขับเคลื่อนภารกิจหลัก 4 ด้าน ประกอบด้วย การสร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งทุน การแก้ไขปัญหาหนี้สิน การพัฒนาสังคมและชุมชน และการสนับสนุนนโยบายรัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ผลงานด้าน Social Impact ที่โดดเด่น
ผลงานที่ผ่านมาตลอด 5 ปี ธนาคารได้สร้าง Social Impact ที่เป็นรูปธรรม สามารถช่วยเหลือคนไทยมากกว่า 13 ล้านคน จากจำนวนบัญชีทั้งสิ้น 18.8 ล้านบัญชี คิดเป็นเม็ดเงิน 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงขนาดของผลกระทบเชิงบวกที่ธนาคารสามารถสร้างให้กับสังคมไทย โดยธนาคารตั้งเป้าหมายในอนาคตที่จะสร้าง Social Impact ให้ได้ไม่น้อยกว่า 2 ล้านรายต่อปี
ในด้าน Financial Inclusion ธนาคารได้ช่วยคนไทยกลุ่มฐานรากให้เข้าถึงสินเชื่อในระบบแล้วกว่า 7.5 ล้านราย หรือ 10.4 ล้านบัญชี คิดเป็นเม็ดเงินกว่า 1.4 ล้านล้านบาท ผ่านมาตรการต่างๆ เช่น สินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพที่มีผู้ได้รับอนุมัติแล้วกว่า 340,000 ราย วงเงินกว่า 6,000 ล้านบาท
การแก้ไขปัญหาหนี้สินเชิงรุก
ด้านการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ธนาคารสามารถช่วยเหลือบรรเทาภาระหนี้จำนวน 6.4 ล้านราย เป็นจำนวน 8.5 ล้านบัญชี ผ่านโครงการต่างๆ เช่น การปลดหนี้ลูกหนี้รายย่อยสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบช่วงโควิด รวมกว่า 1.3 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดหนี้รวมกว่า 11,000 ล้านบาท
การดำเนินมาตรการ "คุณสู้ เราช่วย" สามารถช่วยเหลือได้ถึง 190,000 ราย หรือ 300,000 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 33 ของผู้มีสิทธิ์ที่ลงทะเบียนทั้งระบบ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและการนำนโยบายไปปฏิบัติ
การพัฒนาองค์กรแบบกลุ่มธุรกิจ
การบริหารงานภายใต้การนำของนายวิทัย ยังมีการปรับโครงสร้างองค์กรให้เป็นรูปแบบกลุ่มธุรกิจ โดยจัดตั้งบริษัทย่อย 4 แห่ง ประกอบด้วย บริษัท เงินดีดี จำกัด สำหรับขยายการเข้าถึงสินเชื่อรายย่อย บริษัท มีที่ มีเงิน จำกัด สำหรับสินเชื่อ SMEs บริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด สำหรับแก้ปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพ และบริษัท จีเอสบี ไอที แมเนจเมนท์ จำกัด สำหรับยกระดับศักยภาพ Digital & AI
ความมั่นคงทางการเงินท่ามกลางภารกิจสังคม
แม้ว่าธนาคารจะปรับจุดยืนเป็นธนาคารเพื่อสังคมและช่วยเหลือคนฐานรากมากขึ้น แต่สถานะทางการเงินยังเติบโตแข็งแกร่ง โดยมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ในระดับสูงที่ 18.83% และมีการสร้างเงินสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญทั่วไป (General Provision) ที่เติบโตจาก 4,000 ล้านบาทในปี 2562 สูงขึ้นเป็น 73,000 ล้านบาทในปัจจุบัน พร้อมทั้งมีเงินสำรองรวมสูงถึง 130,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ธนาคารยังสามารถนำส่งเงินกำไรให้เป็นงบประมาณกับรัฐบาลได้มากกว่า 96,000 ล้านบาทตลอด 5 ปีที่ผ่านมา และในปี 2567 สามารถนำส่งกำไรกลับเป็นรายได้เข้าแผ่นดินได้กว่า 23,000 ล้านบาท ทำให้เป็นรัฐวิสาหกิจที่ส่งเงินให้รัฐสูงสุดหนึ่งในสามลำดับแรก
ความท้าทายที่รอคอย
การแต่งตั้งนายวิทัย เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อน โดยเฉพาะปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีได้เน้นว่าเป็น "เรื่องใหญ่ที่สุด" ที่จะต้องเร่งแก้ปัญหา
ประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาหนี้ที่ธนาคารออมสินจึงกลายเป็นจุดแข็งสำคัญ โดยเฉพาะการพัฒนามาตรการต่างๆ ที่ช่วยเหลือลูกหนี้ได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการสร้างนวัตกรรมทางการเงินเพื่อให้คนฐานรากเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การบริหารนโยบายการเงินในฐานะธนาคารกลางมีความซับซ้อนแตกต่างจากการบริหารสถาบันการเงินเฉพาะด้าน โดยเฉพาะในการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาเสถียรภาพของสกุลเงิน การควบคุมเงินเฟ้อ และการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
บทสรุป: จากผู้แก้ปัญหาสู่ผู้กำหนดนโยบาย
เส้นทางอาชีพของนายวิทัย รัตนากร สะท้อนถึงการพัฒนาความเชี่ยวชาญที่หลากหลาย ตั้งแต่การบริหารการเงินองค์กรเอกชน การแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินที่ประสบปัญหา การบริหารกองทุนขนาดใหญ่ และการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อสังคม
ผลงานในแต่ละช่วงแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและสร้างผลลัพธ์เชิงบวก ไม่ว่าจะเป็นการนำนกแอร์เข้าสู่ตลาดทุน การพลิกผันธนาคารอิสลามจากขาดทุนเป็นกำไร การรักษาความมั่นคงของกองทุนบำเหน็จบำนาญ และการสร้างนวัตกรรมเพื่อสังคมที่ธนาคารออมสิน
ในบทบาทใหม่ในฐานะผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย นายวิทัย จะต้องนำประสบการณ์ที่สั่งสมมามาใช้ในการกำหนดนโยบายการเงินที่เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน โดยเฉพาะการจัดการกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เป็นความท้าทายเร่งด่วน พร้อมทั้งรักษาสมดุลของเศรษฐกิจโดยรวมให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ความสำเร็จในอดีตมิได้รับประกันความสำเร็จในอนาคต แต่ประสบการณ์ที่หลากหลายและการพิสูจน์ให้เห็นแล้วในการแก้ไขปัญหาทางการเงินที่ซับซ้อน ทำให้นายวิทัย รัตนากร เป็นตัวเลือกที่น่าจับตามองสำหรับการนำประเทศไทยข้ามผ่านความท้าทายทางเศรษฐกิจในช่วงต่อไป