Ufotable สตูดิโออนิเมะผู้สร้างปรากฏการณ์ Demon Slayer ที่เติบโตด้วยปรัชญาแห่งความประณีต
“คนทำแอนิเมชั่นใส่สุดเหมือนเป็นงานสุดท้ายของชีวิต”
“ต้องไปดูในโรงเท่านั้น ถ้าให้ดีต้องโรง Imax ด้วย!”
“นี่คือตัวอย่างที่ดีของ anime adaption”
ข้างต้นเป็นความคิดเห็นเพียงเศษเสี้ยวจากผู้ที่มีโอกาสชมภาพยนต์แอนิเมชั่นเรื่อง Demon Slayer : Infinity Castle หรือในชื่อภาษาไทย ‘ดาบพิฆาตอสูร ภาคปราสาทไร้ขอบเขต’ หลังจากเข้าฉายในบ้านเราได้ราว 2 อาทิตย์กับยอดรายได้ที่พุ่งทะยานแตะหลัก 266 ล้านบาทเป็นที่เรียบร้อย
ส่วนในประเทศต้นกำเนิดอย่างญี่ปุ่นทำรายได้ถึง 25,700 ล้านเยน หรือ 5 พันกว่าล้านบาท ขึ้นมาอยู่อันดับ 4 ของหนังทำเงินในทำเนียบบอกซ์ออฟฟิศญี่ปุ่นและมีแววจะแซงภาพยนตร์ระดับตำนานอย่างไททานิกขึ้นที่ 3 พร้อมเตรียมกวาดรายได้ในสหรัฐฯ ช่วงกลางกันยายน
ปรากฏการณ์ Demon Slayer Fever นี้ดูยังไงก็ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ประการแรกคือเนื้อเรื่องที่มีกลิ่นอายความเป็นการ์ตูนแนวโชเน็นครบรส มิตรภาพ ความรัก บทบู๊ พัฒนาการของตัวละครที่น่าเอาใจช่วย และประการที่สองคือการที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงจากมังงะสู่แอนิเมชั่น ทั้งในรูปแบบซีรีส์และจอเงินที่นำความโดดเด่นของเนื้อหามาถ่ายทอดถึงพริกถึงขิง ซึ่งทำให้การ์ตูนเรื่องนี้สมบูรณ์แบบอย่างที่ควรจะเป็น
กุญแจสำคัญที่ทำให้ Demon Slayer ฉบับอนิเมะโด่งดังเป็นพลุแตกไปทั่วโลกย่อมหนีไม่พ้น ‘Ufotable’ (ยูโฟเทเบิล) สตูดิโอผู้ผลิตอนิเมะเจ้าใหญ่ของญี่ปุ่น ที่รับหน้าที่ผลิตงานมาตั้งแต่ซีซั่นแรกจวบจนโปรเจกต์ไตรภาคที่แฟนๆ เฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ
เกริ่นนำถึงตรงนี้เห็นทีจะต้องเล่าถึง Ufotable เสียหน่อย ว่าสตูดิโอเจ้านี้ทำยังไงถึงประสบความสำเร็จและทำให้ Demon Slayer กลายเป็นอนิเมะที่เตรียมขึ้นหิ้งระดับตำนาน ถ้าพร้อมแล้วขอเชิญเข้าไปหาคำตอบพร้อมกันได้ที่ด้านล่างนี้
In-house Studio รับจบงานเบื้องหลัง รวมปรมาจารย์มือฉมังในอุตสาหกรรม
ก่อนอื่นขออนุญาตทวนเข็มย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อน ในยุคที่อนิเมะถูกสถาปนาให้กลายเป็นป๊อปคัลเจอร์ประจำแดนปลาดิบ
หนึ่งในฟันเฟืองขับเคลื่อนวงการอย่าง ‘ฮิคารุ คอนโดะ’ (Hikaru Kondo) อดีต Animation Producer แห่ง Telecom Animation Film ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ TMS Entertainment ผู้ผลิตอนิเมะเรื่องดัง อาทิ ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน (Detective Conan) ตัดสินใจพลิกบทบาทจากลูกจ้างสู่นายจ้างด้วยการเปิด in-house studio เล็กๆ ที่มีชื่อว่า Ufotable
ฮิคารุ คอนโดะ ผู้ก่อตั้ง Ufotable
ชื่อเสียงของฮิคารุเป็นที่รู้จักดีในวงการเบื้องหลังนักออกแบบแอนิเมชั่นให้แก่เกมแนวแอ็กชั่น MMORPG (ใครที่เป็นเกมเมอร์น่าจะเคยผ่านตาชื่อของเขาในพาร์ตเครดิตกันมาบ้าง) เช่น Black Rock Shooter, Fate/stay night (Reálta Nua), Code Vein, Super Smash Bros. Brawl ฯลฯ
ด้วยชื่อเสียงนี้เอง ฮิคารุจึงสามารถชักชวนเพื่อนในวงการเบื้องหลังซึ่งแต่ละรายนับเป็นปรมาจารย์มือดีมาเข้าสตูดิโอของเขาได้ไม่ยาก ไม่ว่าจะทาคุยะ โนนากะ (Takuya Nonaka) อดีตผู้กำกับที่จากอนิเมะเรื่อง Ah! My Goddess, ซาโตชิ ทาคาฮาชิ (Satoshi Takahashi) แอนิเมเตอร์และคีย์แอนิเมชั่นจากผลงานเรื่อง Fate/Zero ฉบับฉายทีวีทั้งสองซีซั่น, จุน ชิบาตะ (Jun Shibata) โปรดิวเซอร์และคีย์แอนิเมชั่นจาก Code Geass: Lelouch of the Rebellion R2 และเอมิ ชิบะ (Emi Shiba) คัลเลอร์ดีไซน์ที่ฝากผลงานไว้ในอนิเมะแนวซูเปอร์โรบอตและกันดั้มนับไม่ถ้วน
เมื่อผู้เล่นหลักในทีมครบ Ufotable ของฮิคารุจึงเริ่มโลดแล่นสู่วงการอนิเมชั่นด้วยการเป็นสตูโอซัพพอร์ตงานเบื้องหลังครอบคลุมตั้งแต่คีย์แอนิเมชั่น ซีจี จนถึง compositing โดยแบ่งทีมที่รับงานตามความสามารถเฉพาะทางเพื่อลดข้อผิดพลาด
เติบโตอย่างช้าๆ แต่มั่นคงด้วยปรัชญา Quality Over Quantity
ในยุคแรก ทีมงานหลังบ้านของ Ufotable ต้องบอกว่าไม่เยอะออกแนวน้อยเกินเสียด้วยซ้ำ ด้วยจำนวนเกือบ 90 ชีวิต ทำให้ไม่สามารถรับโปรเจกต์ใหญ่พร้อมกันได้ในทีเดียว
อย่างไรก็ดี จำนวนน้อยที่ว่ากลับขับเคลื่อนด้วยปรัชญาการทำงานที่เรียกว่า ‘Quality Over Quantity’ หรือ ‘คุณภาพมากกว่าปริมาณ’ หมายความว่าโปรเจกต์ใดที่รับงานมาแล้วจะต้องทำด้วยความพิถีพิถันและประณีตอย่างมากถึงมากที่สุด
งานส่วนใหญ่ในมือของ Ufotable จึงออกมามีคุณภาพและเปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์จากการนำเทคนิค 2D จากการเป็นคนเบื้องหลังคนทำอนิเมะและ CGI จากคนทำเกมมาผสมผสานกัน ซึ่งต่อมาถูกยกให้กลายเป็นลายเซ็นสำคัญของสตูดิโอโดยปริยาย (จำตรงนี้ไว้นะครับ นี่คือคีย์สำคัญที่จะทำให้สตูดิโอนี้ประสบความสำเร็จเปรี้ยงปร้างในอนาคต)
เพราะมีบุคลากรที่ช่ำชองจากสายงานเบื้องหลังหลากแขนง Ufotable เลยมีโอกาสได้รับงานหลากหลายกว่าชาวบ้าน ไม่ว่าจะอินโทรสำหรับรายการโทรทัศน์, งานภาพวิดีโอเกม, งานภาพ 3D ประกอบ live action ต่างๆ ไปจนถึงงาน CG ประกอบอนิเมะเช่น Sonic X และ Gundam SEED
The Garden of Sinners ผลงานสร้างชื่อของ Ufotable
แต่กว่าสตูดิโอนี้จะสร้างชื่อเป็นที่รู้จักต้องใช้เวลาสั่งสมชื่อเสียงนานถึง 7 ปี โดยผลงานที่ทำให้เป็นที่รู้จักมาจากภาพยนตร์อนิเมะเรื่อง The Garden of Sinners หรือสวนแห่งคนบาป ที่ได้ปลดปล่อยลายเซ็นของสตูดิโอออกมาอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเทคนิค Claymation ที่ต้องใส่ใจขั้นตอนการทำงานมากกว่าปกติ
นอกจากนี้ Ufotable ยังได้รับงานจากบริษัท Bandai Namco ผลิตฉากคัตซีนล้ำๆ ในเกม Tales of และ God Eater อีกด้วย
ติดสปีดจากโอกาสครั้งสำคัญที่ Aniplex มอบให้
ถึงตรงนี้ Ufotable ยังคงวนเวียนอยู่ในวงการเบื้องหลังคนทำอนิเมะ เพียงแต่อยู่ในบทบาท ‘ม้านอกสายตา’ ที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงสักเท่าไหร่นัก พูดให้เห็นภาพคือถ้าพูดถึงชื่อ Studio Ghibli หรือ Toei Animation คนจะนึกถึงคุณภาพงานหรือความเป็นแบรนดิ้งได้ชัดเจนทันที
ถึงกระนั้นผลงานของ Ufotable กลับเข้าตากรรมการ Aniplex ซึ่งเป็นบริษัทบันเทิงในเครือ Sony Group Corporation ที่กำลังหาสตูดิโอมารับโปรเจกต์ Demon Slayer ซีซั่นแรก
โปรเจกต์ดังกล่าวถือเป็นงานโหดหินเอาการ เพราะ Demon Slayer หรือKimetsu no Yaiba ณ เวลานั้นถูกยกให้ ‘ความหวัง’ ของอุตสาหกรรมมังงะที่กำลังตกอยู่ในสภาวะซบเซา นับตั้งแต่มังงะที่เป็นเสาหลักในนิตยสาร Weekly Shonen Jump อาทิ Naruto ทยอยอวสาน จนช่วงหนึ่งตกอยู่ในสภาวะสุญญากาศจากการขาดมังงะเรื่องดังรับไม้ต่อ โดยก่อนที่ Demon Slayer ฉบับอนิเมะซีซั่นแรกจะออกฉายมียอดขายต้นฉบับถึง 3.5 ล้านเล่มในประเทศญี่ปุ่น
เหตุผลที่ Aniplex เลือกใช้บริการของ Ufotable มีเหตุผลอยู่ 2 ข้อ ข้อแรกคือเป็นสตูดิโอที่มีฝ่ายกระบวนการผลิต (production committee) ครบวงจร ทั้ง key animation, CG และ compositing ทำให้จบงานได้ด้วยตัวเอง หมดปัญหาเรื่องการส่งต่องานล่าช้าหรือการไม่ลงรอยระหว่างการทำงานข้ามบริษัท ไปจนถึงสามารถวางแผนงานได้ในระยะยาว และข้อสองคือความประณีตที่มีเป็นทุนเดิม
ดูเหมือนว่าการตัดสินใจของ Aniplex จะถูกต้องดังที่คิด เพราะทันทีที่ Demon Slayer ออกฉาย อนิเมะซีรีส์ดังกล่าวสามารถเรียกเรตติ้งคนดูจำนวนมหาศาล โดย Oricon Monitor เว็บไซต์ด้านสถิติรายงานว่า ในปี 2020 มีประชากรชาวญี่ปุ่นรู้จัก Demon Slayer มากถึง 90% โดยแบ่งเป็นรู้จักดีมากถึง 40.5% และรู้จักเฉยๆ 57.3%
สถิตินี้สะท้อนกลับไปยังยอดขายเวอร์ชั่นมังงะที่ยอดขายต้นฉบับเพิ่มถึง 12 ล้านเล่ม ในขณะที่สินค้าต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับซีรีส์มียอดขายในประเทศญี่ปุ่นแซงหน้าการ์ตูนระดับตำนาน ทั้ง Pokémon, Anpanman, Mickey Mouse และ Peanuts
เหตุผลของผู้ชมส่วนใหญ่บอกเป็นเสียงเดียวกันว่านอกจากบทที่ชวนติดตาม อีกปัจจัยที่ทำให้ผู้คนชื่นชอบ Demon Slayer คืองานภาพที่มีความลื่นไหลและทรงพลังในฉากต่อสู้ แม้กระทั่งเพลงประกอบที่ใช้เองก็ติดหูลื่นไหลอย่าง Gurange (ที่คนไทยเอาไปแปลเนื้อร้องว่าซื้อยาคูลท์นั่นแหละครับ)
Demon Slayer ซีซั่นแรกถูกโปรโมตตามสถานีรถไฟ
Satsuei ลายเซ็นที่ทำให้แตกต่าง
ต้องบอกว่าผลงาน Demon Slayer ในมือของ Ufotable โตวันโตคืนแบบก้าวกระโดด เห็นได้ชัดเมื่อออกฉายในรูปแบบเดอะมูฟวี ภาครถไฟแห่งนิรันดร์ หรือ Mugen Train ที่ออกฉายภายเมื่อปี 2021 ที่กวาดรายได้ถล่มทลาย
ในประเทศญี่ปุ่นที่ใช้เวลาเพียง 73 วันแซงหน้า Spirited Away ขึ้นที่ 1 บอกซ์ออฟฟิศของญี่ปุ่นด้วยรายได้รวม 32.4 พันล้านเยน (7.13 พันล้านบาท) ถือเป็นการโค่นแชมป์ภาพยนตร์อนิเมะจาก Studio Ghibli ที่ครองมายาวนานถึง 19 ปี
กุญแจสำคัญที่ทำให้ Demon Slayer : Mugen Train ประสบความสำเร็จมาจากเทคนิคที่เรียกว่า ‘Satsuei’ หรือการใช้ compositing ผสมผสานกันระหว่างเทคนิค 2D เข้ากับ CG ได้อย่างแนบเนียน เรียกว่าเป็นการยกเครื่องงานภาพในหนังสือการ์ตูนนำมาถ่ายทอดใหม่ให้ดูสมจริงสมจัง ทั้งภาพขบวนรถไฟที่เคลื่อนขบวนในยามราตรีราวกับของจริง, การต่อสู้ระหว่างเสาหลักเพลิงกับอสูรข้างขึ้นลำดับที่ 3 ที่กลายเป็นฉากระดับตำนาน ไปจนถึงฉากดราม่าเรียกน้ำตาในตอนท้ายเองก็เช่นกัน
ต่อมาเทคนิค Satsuei จึงถูกยกให้เป็นจุดเด่นของ Ufotable ที่หาคู่เปรียบได้ยาก โดยเทคนิคดังกล่าวได้ถูกนำมาใช้ใน Demon Slayer ภาคต่อๆ ไป แม้กระทั่งฉบับซีรีส์ภาค Entertainment District Arc หรือย่านเริงรมย์ที่มีเนื้อหาเพียง 3 เล่มจบก็ถูกนำมาใช้ และเรียกเสียงฮือฮากับงานภาพสุดอลังการโดยเฉพาะใน EP.10 ที่คุณภาพเทียบเท่างานฉายโรง
ความนิยม Demon Slayer ไม่จบลงแค่ในจอเท่านั้น นอกจากจะมีสินค้าที่คอลแล็บกับแบรนด์ดังต่างๆ มากมาย Ufotable ยังจับกระแสด้วยการเปิด Ufotable Cafe ในโตเกียวและโอซาก้าเพื่อดึงดูดแฟนคลับให้เข้ามาใช้บริการสร้างรายได้อีกทาง
งานภาพ Demon Slayer : Mugen Train
เกือบพังเพราะคดีหนีภาษี
จากที่เคยเป็นม้านอกสายตา ถึงตรงนี้ Ufotable กลายเป็นสตูดิโอที่ทั่วโลกจับตามอง แต่การเป็นที่รู้จักนี้อาจกลายเป็นดาบสองคม
ในเดือนกรกฎาคมปี 2021เมื่อมีข่าวว่า ฮิคารุ คอนโดะ ซีอีโอของ Ufotable ถูกจับฐานหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่า 137 ล้านเยน ทำเอาแฟนๆ Demon Slayer ช็อกไปตามๆ กัน
จากการไต่สวนของศาลพิพากษากรุงโตเกียวระบุว่า ฮิคารุได้สารภาพถึงข้อกล่าวหาหลีกเลี่ยงภาษีในจำนวนดังกล่าวจริง โดยเป็นจำนวนเงินรายได้ของ Ufotable ระหว่างปี 2018-2021 ซึ่งตรงกับช่วงที่Demon Slayer ภาคแรก และภาค Mugen Train ออกฉายไปแล้ว อีกทั้งฮิคารุยังแอบซ่อนเงินรายได้จากการจำหน่ายสินค้าของ Ufotable Cafe ไว้กับตัวอีก 441 ล้านบาท
สาเหตุที่ซีอีโอ Ufotable ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาจากความกดดันจากต้นทุนการผลิตและค่าแรงทีมงานที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพผลงานให้เป็นไปตามความคาดหวังของแฟนๆ ไม่ใช่แค่กับ Demon Slayer แต่หมายถึงผลงานทุกๆ ชิ้นที่ถูกผลิตในนาม Ufotable ดังนั้นฮิคารุจึงหวังว่าเงินก้อนที่หลีกเลี่ยงภาษีจะเป็นเงินทุนสำรองเพื่อผ่านพ้นวิกฤตไปได้
ผลจากการกระทำผิดของฮิคารุ ส่งผลให้เจ้าตัวถูกศาลกรุงโตเกียวลงโทษจำคุก 20 เดือน โดยเว้นวรรคพักโทษเป็นเวลา 3 ปี และใน 3 ปีนี้หากประพฤติตัวดีจะไม่ต้องถูกส่งเข้าเรือนจำ
ช่วงแรก Ufotable ได้รับผลกระทบเต็มๆ มีข่าวลือมากมายถึงการเปลี่ยนมือสตูดิโอที่จะเข้ามารับช่วงต่อโปรเจกต์ Demon Slayer แต่สุดท้ายข่าวลือดังกล่าวได้จบลงเมื่อฮิคารุออกมาขอโทษต่อสังคม และยื่นแบบแสดงรายได้แก้ไข (amended tax return) พร้อมชำระภาษีครบถ้วน
เปลี่ยนวิธีการวางแผนเพื่อไตรภาค Infinity Castle
หลังได้รับบทเรียนครั้งสำคัญ Ufotable ตัดสินใจปรับวิธีการทำงานขนานใหญ่เพื่อรับมือโปรเจกต์ไตรภาค Infinity Castle ที่กำหนดจบราวๆ ปี 2029 ด้วยการปรับเพิ่มพนักงานเป็น 256 คน โดยมีพนักงาน 100 คนรับผิดชอบผลิตโปรเจกต์อนิเมะ
การเพิ่มจำนวนพนักงานเป็นเท่าตัวก็เพื่อตัดปัญหา ‘งานล้นมือ’ เหมือนที่บ้านใกล้เรือนเคียงอย่าง MAPPA Studio เคยโดนวิพากษ์วิจารณ์กับการใช้แรงงานแอนิเมเตอร์หามรุ่งหามค่ำ
นอกเหนือจากเรื่องกำลังคน Ufotable ยังปรับตารางการฉาย Demon Slayer แบบซีรีส์สลับกับเดอะมูฟวี่ เพื่อให้มีเวลาในการปั้นงานฉบับฉายโรงภาพยนตร์ซึ่งต้องใช้ความละเมียดกว่า อย่าง Infinity Castle พาร์ตแรกก็มีเวลาทำเกือบ 3 ปี ก่อนที่จะมีเวลาอีก 2 ปีเพื่อเร่งพัฒนาพาร์ตต่อไป
ส่วนต้นทุนการผลิต ทาง Aniplex ได้ให้เงินสนับสนุนการทำงานในระยะยาวแก่ Ufotable ซึ่งเงินส่วนนี้เป็น ‘กำไร’ ที่ได้จากการออกฉายและจำหน่ายสินค้าลิขสิทธิ์ของDemon Slayer : Mugen Train เป็นการตัดไฟแต่ต้นลมไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำสอง
งานวิชวลสุดอลังการของโมเดล Infinity Castle
ถ้าถามว่าทำไมต้องลงทุนลงแรงไปกับไตรภาค Demon Slayer : Infinity Castle ขนาดนั้น ทั้งที่เลือกฉายในรูปแบบซีรีส์แบบเดิมก็ได้ เชื่อว่าใครที่ไปดูน่าจะเห็นคำตอบ กับการรังสรรค์โมเดลปราสาทไร้ขอบเขตจากเวอร์ชั่นมังงะที่ดูธรรมดาๆ ให้กลายเป็นแดนสนธยาไร้ที่สิ้นสุด ซึ่งการฉายโรง (โดยเฉพาะ Imax) เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือช่วยดึงประสิทธิภาพความยิ่งใหญ่ที่ว่าสู่สายตาคนดูได้นั่นเอง
ถึงตรงนี้ Ufotable และ Demon Slayer น่าจะไม่มีวันแยกจากกันได้ประดุจกิ่งทองใบหยก ดังที่คาซูฮิโกะ โทริชิม่า (Kazuhiko Torishima) อดีตบรรณาธิการของนิตยสารมังงะ Shonen Jump กล่าวไว้ว่า Demon Slayer เปรียบเสมือนเมล็ดกาแฟดิบที่ได้ Ufotable คั่วและชงออกมาเป็นกาแฟชั้นดี หรือในรายงานของยูซูเกะ มุราตะ (Yusuke Murata) นักวาดมังงะเรื่อง One-Punch Man ที่เคยเขียนไว้กระทู้ส่วนตัวว่า Ufotable มีส่วนสำคัญในการผลักดัน Demon Slayer ไปสู่อีกระดับ จนมีส่วนย้อนกลับมากอบกู้วงการมังงะจากภาวะซบเซา
เอาเข้าจริงการทำงานช่วงแรกของ Ufotable ดูคล้าย ‘มนุษย์เป็ด’ ที่ทำงานได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่ต่างไปคือเป็นมุนษย์เป็ดที่เชื่อในการทำงานด้วยความตั้งใจและประณีต จนสามารถเหนือกว่าเป็ดตัวอื่นๆ ที่มีอยู่ในบ่อเดียวกัน และการค่อยๆ สั่งสมประสบการณ์ ขัดเกลาคุณภาพ จนมีเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเองอย่างการผสมเทคนิค 2D และ CG เข้าด้วยกันยิ่งทำให้สตูดิโอนี้เฉิดฉาย
น่าตื่นเต้นแทนแฟนๆ Demon Slayer ไม่น้อยที่จะได้ดูงานภาพดีๆ ไปอย่างน้อยอีก 2 ภาค และแว่วๆ ว่าภาพยนตร์อนิเมะเรื่องนี้อาจถูกส่งชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในเร็ววัน
ซึ่งถ้าได้รางวัลจริงจะเป็นประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่เพียงใด แค่คิดตามก็เนื้อเต้นแล้ว
อ้างอิงข้อมูล
tvtropes.org/pmwiki/pmwiki.php/Creator/Ufotable
animenewsnetwork.com/encyclopedia/people.php?id=8835
brandefy.com/ufotable-anime-video-production-demon-slayer/
newyorker.com/culture/cultural-comment/demon-slayer-the-viral-blockbuster-from-japan?
www3.nhk.or.jp/nhkworld/en/news/backstories/1503/
facebook.com/share/p/1BD189Amzq