9 ปีของ SPACEBAR ZINE ร้านสิ่งพิมพ์อิสระที่ได้ลงนิตยสาร POPEYE และ BRUTUS
ถ้าคุณเป็นคนชอบสะสมซีน เดินงานอาร์ตบุ๊กแฟร์ทุกปี และรักสิ่งพิมพ์อิสระเป็นชีวิตจิตใจ มั่นใจว่าชื่อของ SPACEBAR ZINE น่าจะเป็นชื่อที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว
ส่วนใครที่เพิ่งเคยเห็นชื่อนี้ครั้งแรก ขอแนะนำแบบย่อๆ ว่า SPACEBAR ZINE คือร้านขายสิ่งพิมพ์อิสระหลากหลายรูปแบบและสตูดิโอผลิตงานพิมพ์ของ วิว–วิมลพร วิสิทธิ์ และภู่–วิศรุต วิสิทธิ์ ที่ทำกันมานาน 9 ขวบปี
9 ปีที่ผ่านมา วิวและภู่ลองผิดลองถูกกับแบรนด์มาแล้วหลายครั้ง พวกเขาจับจองพื้นที่ของงานอาร์ตบุ๊กแฟร์ทุกปี ส่วนหน้าร้านก็ย้ายมาแล้วหลายหน จากร้านซีนทำมือเล็กๆ สู่ร้านที่มีแกลเลอรีจัดแสดงงานย่านสุขุมวิท และสตูดิโอที่เปิดรับเวิร์กช็อปสิ่งพิมพ์ที่จตุจักร
ล่าสุด SPACEBAR ZINE จับจองพื้นที่ด้านในสุดของเวิ้ง Galileoasis ย่านราชเทวี กลายเป็นร้านสิ่งพิมพ์แสนน่ารักที่ขายทั้งซีนทำมือ หนังสือเล่ม งานอาร์ตปรินต์ และไอเทมกระจุ๊กกระจิ๊กที่คนรักสิ่งพิมพ์อย่างเราเข้าไปแล้วต้องใจเต้น
ในวันที่เรานัดพบทั้งคู่ วิวกับภู่บอกว่าย้ายร้านมาที่นี่ได้ราวหนึ่งปีครึ่ง และเป็นหนึ่งปีครึ่งที่ทั้งคู่ได้เรียนรู้วิธีคิดใหม่ๆ ได้เปลี่ยนมุมมองการทำธุรกิจไปอย่างสิ้นเชิง ที่สำคัญคือได้ยืนยันความเชื่อบางอย่างที่เชื่อมาตลอด เช่นความเชื่อที่ว่า ‘สิ่งพิมพ์กำลังจะตาย’ นั้นไม่เป็นความจริง
ทั้งคู่บอกว่า นี่คือ era ใหม่ของ SPACEBAR ZINE และสิ่งพิมพ์อิสระของไทย ที่กำลังจะเติบโตต่อไปได้อย่างแข็งแรง
ตั้งแต่ย้ายร้านมาที่ Galileoasis ร้าน SPACEBAR ZINE มีการเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง
วิว : จริงๆ ต้องบอกว่า Galileoasis ทำให้เราฟื้นคืนชีพมาได้ เพราะที่ผ่านมา ตลาดซีนและร้านหนังสืออิสระที่เลือกงานกับของมาขายแบบนี้มันไม่เคยมีเลย ร้านหนังสืออิสระบ้านเราจะเน้นขายพ็อกเก็ตบุ๊ก นิยาย หนังสือกระแสหลัก แต่พอเป็นร้านที่เฉพาะทางแบบนี้ มันไม่เคยมีใครปูทางให้เรามาก่อนว่าควรจะทำยังไง มันเลยทำให้เราต้องเริ่มด้วยตัวเอง ล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด
เมื่อก่อนตลาดเล็กมาก ข้อดีคือพอเราอยู่กับกลุ่มลูกค้ากลุ่มเล็กๆ เขาก็ยังซัพพอร์ตเรา ประกอบกับที่ผ่านมาวิธีคิดของเรามันอาจจะไม่ได้โฟกัสเรื่องธุรกิจขนาดนั้น เราใช้ความชอบนำทาง แต่พอย้ายมาอยู่ที่ Gallioasis วิธีคิดก็เปลี่ยน หน้าร้านจริงจังขึ้น จากที่เมื่อก่อนอยากแค่เลือกงานที่ชอบมาขายในสตูดิโอขนาดเล็กที่ไม่ได้ public ขนาดนั้น แต่ตอนนี้เราคือร้านหนังสืออิสระ ทำให้ช่วงปีครึ่งที่ผ่านมาก็เป็นช่วงที่เราเรียนรู้เยอะ
ภู่ : วิธีคิดของเราเปลี่ยนไปตามลูกค้า ในโลเคชั่นเดิมที่จตุจักร ลูกค้าที่มาคือลูกค้าที่ตั้งใจมาร้านเราเท่านั้น แต่ที่ Galileoasis ด้วยความเป็นอาร์ตสเปซที่เด่นเรื่องสถาปัตยกรรม พื้นที่ตรงนี้ป๊อปปูลาร์อยู่แล้ว ลูกค้ามีความหลากหลายขึ้นเพราะโลเคชั่นเดินทางมาได้ง่าย เราก็ต้องปรับตัวไปตามเขา คิดเป็นธุรกิจมากขึ้น
อย่างปกติเมื่อก่อนเราไม่ได้มีระบบบริหารจัดการร้านค้า เวลาคนมาซื้อของก็สแกนจ่ายแล้วจบ แต่เดี๋ยวนี้ต้องมีระบบหน้าร้าน ระบบหลังบ้าน ระบบสต็อก อีกอย่างคือเมื่อก่อนร้านกับสตูดิโอทำงานของเราอยู่ในที่เดียวกัน แต่ตอนนี้เราแยกสตูดิโอไปอยู่ที่อารีย์ชื่อว่า SPACEBAR ZINE Ink Lab รับผลิตซีนของศิลปินที่นั่นเพื่อส่งมาขายที่นี่
วิว : การมีหน้าร้านทำให้เราต้องผลิตงานเยอะขึ้นด้วย ไม่งั้นมันจะกลายเป็นว่ามีแต่งานที่เรารับมาขาย ไม่มีงานที่เป็นออริจินอลคอนเทนต์ของเรา ซึ่งเป็นงานที่เรา curate ศิลปินมาและหาไอเดียทำงานร่วมกัน
ตลาดของสิ่งพิมพ์อิสระตอนนี้กำลังไปในทิศทางไหน คำกล่าวว่า Print is Dead ที่หลายคนชอบพูดกัน ตอนนี้ยังจริงอยู่หรือเปล่า
วิว : เทรนด์ของสิ่งพิมพ์ตอนนี้มาทางอินดี้ หมายถึงว่าเด็กๆ เริ่มพิมพ์กันเองเยอะมาก คำว่าสิ่งพิมพ์ตายแล้ว จริงๆ มันตายแค่บางประเภทเท่านั้น อะไรที่มัน up-to-date ไม่ทันออนไลน์มันก็ตาย แต่อะไรที่ศิลปินอยากผลิต อะไรที่พิมพ์เองกำลังมา เราเห็นเทรนด์นี้จากงานในต่างประเทศที่เคยไปด้วย
ภู่ : ตลาดสิ่งพิมพ์อิสระมีอยู่แล้วแหละ แต่ตอนนี้มันกำลังขยายใหญ่ขึ้น และมีรูปแบบงานที่หลากหลายมากขึ้น ปกติซีนจะเป็นสิ่งพิมพ์ที่เล่าเรื่องส่วนตัวนิดหนึ่ง แต่หลังๆ มันเริ่มตอบโจทย์ว่าจะขายใคร
นิยามของ ‘ซีน’ ในปัจจุบันเปลี่ยนไปแค่ไหน ซีนสักเล่มสามารถเป็นอะไร เล่าเรื่องอะไรได้บ้าง
วิว : จริงๆ เมื่อก่อนคือหนังสือทำมือ หลายปีผ่านมา นอกจากเทคโนโลยีการพิมพ์ที่ดีขึ้น เราเห็นโรงพิมพ์ที่หันมาจับตลาดเล็กมากขึ้น ทำพวก on demand คือพิมพ์เล่มเดียวก็รับพิมพ์ มันทำให้หลายคนเริ่มกล้าที่จะทำ ซีนที่เย็บมือเองก็มีแหละ แต่ซีนที่ส่งเข้าโรงพิมพ์แล้วออกมาได้เป็นเล่มเลยก็มี นิยามของซีนสำหรับเรา คือหนึ่ง–ผลิตเอง สอง–ปริมาณไม่เยอะมาก สาม–ราคาไม่แรงมากนัก
รูปแบบของซีนตอนนี้ก็เหมือนแบ่งตามประเภทหนังสือนั่นแหละ คือมีซีนที่ส่วนตัวหน่อย ซีนที่ขับเคลื่อนประเด็นบางอย่าง เช่น ประเด็นทางการเมือง ของเมืองนอกส่วนใหญ่จะเป็นแบบนั้น
นอกจากนี้ ซีนในแต่ละประเทศก็ไม่เหมือนกัน อย่างฝั่งตะวันตก ซีนเขาจะมีความพังก์ การเมือง สีขาว-ดำ หรือมีความเป็น fan zine เช่นซีนที่พูดถึงตัวละครมาร์เวล แต่ฝั่งญี่ปุ่นจะเป็นเรื่องที่จับต้องได้ในชีวิตประจำวัน ร้านซีนบ้านเขาก็จะเฉพาะทางมากๆ เช่น ร้านซีนที่รวมแต่ซีนของแม่บ้าน ร้านซีนที่ขายแต่เมนูอาหาร
แล้วซีนที่วางขายใน SPACEBAR เป็นซีนแบบไหน
วิว : เป็นซีนที่มีความเฟรนด์ลี่ เข้าใจง่าย เป็นกันเอง และมีความเป็นญี่ปุ่นสูง จะมีทั้งซีนภาพประกอบ ซีนภาพถ่าย ซีนบทกลอนและบทความ ส่วนใหญ่จะอยู่ใน 3 หมวดนี้
ส่วนเนื้อหาก็สามารถเป็นอะไรก็ได้เลย จะมีเนื้อหาที่เล่าเรื่องในชีวิตประจำวัน มีเรื่องการเมืองซึ่งจะมาในช่วงที่การเมืองเข้มข้นเป็นพิเศษ นอกจากนั้นก็จะมีซีนสำหรับผู้ใหญ่เลย เป็นงาน 18+ หรืองานนู้ด แต่เราก็พยายามวางในมุมที่สูงหน่อยเพราะเด็กๆ เข้าร้านมาเยอะ
โดยสรุปคือซีนในร้านตอนนี้จะมีความหลากหลายกว่าสมัยก่อน มีการพิมพ์ที่ทันสมัย มีลูกเล่นของตัวเล่มที่น่าสนใจ เช่น มีการสอดแทรกโปสเตอร์ มีของแถม ไปจนถึงซีนที่ขายของกินไปด้วย จะมีเล่มหนึ่งของคนเกาหลีที่เล่าเรื่องปลาแห้งในเกาะเชจู แล้วในเล่มจะมีปลาแห้งให้ลองชิม ลูกเล่นพวกนี้ทำให้สิ่งพิมพ์กลับมาน่าสนใจ น่าเก็บ และเฉพาะทางมากขึ้น
พอมันเฉพาะทางแบบนี้ เราคิดว่าสิ่งพิมพ์ก็ไม่ได้แตกต่างจากงานศิลปะที่คนจะสะสม ทุกวันนี้คนชอบแซวกันเรื่องกองดอง แต่เราคิดว่าประเด็นกองดองนี้น่าสนใจ เพราะการมีกองดองแปลว่าคนเขาซื้อโดยที่ไม่รู้ว่าเขาจะอ่านหรือเปล่าด้วยซ้ำ
นั่นแปลว่าคนทรีตหนังสือเป็นเหมือนงานศิลปะชิ้นหนึ่ง ตอนเราผลิตเล่ม เราจึงคิดว่าทำยังไงก็ได้ให้เล่มน่าสนใจพอที่เขาเก็บอยู่ในเชลฟ์ แล้วเขาเอาออกมาดูได้อีกเรื่อยๆ นี่คือความตั้งใจในการทำซีนของเราทุกเล่ม
คุณได้ซีนทั้งหมดนี้มาวางขายได้ยังไง และมีเกณฑ์ในการเลือกซีนเข้าร้านหรือเปล่า
วิว : คอนเนกชั่น มันคือการแลกนามบัตรต่อนามบัตรเลย ด้วยความที่ SPACEBAR เองไม่ได้เกิดจากคนที่มีต้นทุนเยอะ ไม่ได้เป็นร้านที่มีสายป่านยาว เราเกิดจากคนตัวเล็กๆ ที่ทำด้วยเงินตัวเอง
ภู่ : ร้านของเราเกิดจากการลองผิดลองถูก เราไม่ได้มีข้อเสนอยิ่งใหญ่ที่ยื่นให้กับคนทำสิ่งพิมพ์ แค่พูดตรงๆ กับเขาว่าเราอยากได้เล่มนี้มาขายที่ร้าน คุณขายเท่าไหร่ มันมีความสู้ในแบบมวยรองนิดหนึ่ง กับอีกแบบคือมีคนส่งมาให้เรา
ส่วนเกณฑ์ในการคัดเลือก จริงๆ ไม่มีเลย ถ้าเล่มไหนที่ส่งมาให้เราแล้วเราคิดว่าขายยาก ขายที่ร้านอื่นน่าจะขายได้ง่ายกว่า เราก็จะให้คอนเนกชั่นร้านนั้นไป เพราะซีนที่ลูกค้าของเรามักจะหยิบคือซีนภาพประกอบ ซีนภาพถ่ายเล่มบางๆ แต่ถ้าเป็นโฟโต้บุ๊กเล่มใหญ่ปกแข็งก็อาจจะเริ่มยากแล้ว
ราคาก็มีผล ส่วนมากซีนในร้านจะหลักร้อยถึงพันต้นๆ ถ้าสูงกว่านั้นเราก็จะบอกคนทำไปตรงๆ ว่าอาจจะขายออกยากหน่อย ซึ่งบางคนก็รับได้นะ เพราะเขาอยากวางร้านเราจริงๆ
เท่าที่เห็นคือนอกจากซีนแล้ว คุณมีไอเทมอย่างอื่นขายในร้านอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ตอบโจทย์ลูกค้าที่กว้างขึ้นใช่ไหม
วิว : ใช่ ร้านตอนนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน คือพื้นที่ของสิ่งพิมพ์ที่เป็นเล่ม กับพื้นที่ของสินค้าเมอร์แชนไดส์ที่เราต้องหาของที่แมสมากขึ้นเพื่อมาเสิร์ฟลูกค้า สินค้าที่เยอะที่สุดในร้านจะเป็นอาร์ตปรินต์ หรือภาพประกอบที่ถูกทำเป็นภาพพิมพ์ ส่วนใหญ่เป็น Riso print หรือดิจิทอลปรินต์ สิ่งนี้ขายดีมาก เพราะจริงๆ มันก็คือการได้ซื้องานศิลปะภาพพิมพ์ในราคาที่ถูกลง
ท่ามกลางวงการสิ่งพิมพ์อิสระที่เติบโต มีร้านสิ่งพิมพ์อิสระเปิดเยอะขึ้น คุณวาง position ของ SPACEBAR ZINE ไว้ตรงจุดไหน
ภู่ : ไม่เคยคิดเลย แต่ถ้ามาคิดจริงๆ เราคิดว่าอยู่ตรงกลางแมส กลางอินดี้ เราอาจแมสเกินไปสำหรับสิ่งพิมพ์อินดี้ แต่ก็อินดี้เกินกว่าจะเรียกว่าแมส
วิว : โชคดีที่ร้านของเรามีอิสระสูง ไม่ได้เปรียบเทียบตัวเองกับใคร ซึ่งจริงๆ เป็นสิ่งที่เราหวังในการทำงานสักงานนะ เพราะในการทำงาน เราจะกลัวการถูกเปรียบเทียบ แต่ SPACEBAR ZINE ทำให้เราสบายใจ เหมือนเราไม่ต้องแข่งกับใคร แค่เลือกเล่มที่เราชอบมาให้ได้ นั่นคือเป้าหมายของเรา
ภู่ : ต่อให้อนาคตจะมีคนเปิดร้านแบบเดียวกัน แต่จะไม่เหมือนกันหรอก เพราะการเลือกสินค้าเข้าร้านมันขึ้นอยู่กับสายตาของเจ้าของร้าน เราก็เลือกซีนผ่านสายตาของเราทั้งคู่
ความท้าทายของการอยู่ตรงกลางระหว่างแมสกับอินดี้คืออะไร
ภู่ : การบริหารความคาดหวัง หลายคนคาดหวังกับเรามากว่าเราควรจะมีอะไรบ้าง สมมติว่าเรามีนักเขียนเข้ามาพิมพ์งานด้วยกัน ถ้าเป็นระบบสำนักพิมพ์ นักเขียนก็จะคาดหวังค่าต้นฉบับเพราะเราพิมพ์หนังสือของเขา แต่ที่นี่เราจะไม่ได้แบกต้นทุนแบบนั้น จะเป็นในลักษณะที่ว่า คุณอยากเขียน อยากทำซีนใช่ไหม มีวัตถุดิบอะไรบ้าง มาทำร่วมกันไหม แต่เรามีต้นทุนเท่านี้นะ ขายได้เท่านี้ มันเหมือนเขามาฝากความหวังกับเราไม่ได้ แต่เดินไปพร้อมกันได้ เหมือนเราทำงานร่วมกันมากกว่าจะตั้งตัวเป็นสำนักพิมพ์
วิว : เราทำธุรกิจด้วยความสบายใจเป็นหลัก อาจเป็นเพราะช่วงวัยด้วย ช่วงวัยหนึ่งเราก็อยากทำงานที่ทำให้เราเติบโต อยากเป็นคนนั้นคนนี้ในวงการ แต่พอเราได้ทำแล้ว พอถึงจุดหนึ่งเราก็อยากทำสิ่งที่มันยั่งยืน มันจะต้องไม่ใช่แค่อยากทำ แต่จะทำยังไงวะให้ร้านอยู่ได้ ทำยังไงให้เราสามารถสั่งหนังสือมาวางได้เรื่อยๆ มุมมองทางธุรกิจมันก็เติบโตขึ้นตามวัย
เราว่าคนทำธุรกิจคงเป็นกันทุกคน พอร้านเริ่มเป็นที่รู้จัก มันจะมาพร้อมความคาดหวังบางอย่าง เช่น ร้านนี้เป็นร้านสิ่งพิมพ์อิสระในกรุงเทพฯ ที่ต้องมา เรารู้สึกว่าเรากลัวมากขึ้น
เมื่อก่อนเราจะมองว่าความกลัวเป็นข้อเสีย แต่พอโตขึ้น เรามองว่าการทำธุรกิจโดยยังมีความกลัวเป็นข้อดี เพราะความกลัวทำให้เราเดินอย่างระมัดระวังมากขึ้น
การที่โรงพิมพ์หันมาผลิตงานในสเกลเล็กลง ส่งผลกระทบต่อคุณบ้างไหม
วิว : ไม่นะ เพราะโรงพิมพ์ไม่ได้ไปวิ่งหาศิลปินเหมือนเรา เราเป็นแมวมองนิดหนึ่ง คือนอกจากเลือกมาขายแล้วเราก็ช่วยศิลปินผลิตงานด้วย ตอนนี้เรานิยามตัวเองว่าเป็น Publications Producer รับโปรดิวซ์งานสิ่งพิมพ์ เพราะส่วนใหญ่ปัญหาของศิลปินบ้านเราคือเขามีคอนเทนต์แต่เขาไม่รู้ว่าเขาควรผลิตที่ไหน เราเหมือนเป็นตัวกลางที่ช่วยเขา จบงานให้เขาได้ตั้งแต่เริ่มผลิตยันขาย
ภู่ : เราไม่ได้รู้สึกว่าโรงพิมพ์เป็นคู่แข่ง แต่เป็นพาร์ตเนอร์ที่ช่วยงานเราเพิ่มมากกว่า เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะพิมพ์ที่ไหน สิ่งพิมพ์ก็ถูกส่งมาขายที่ร้านของเราอยู่ดี
จุดแข็งที่ทำให้ SPACEBAR ZINE ยังยืนระยะได้จนถึงปัจจุบันคืออะไร
วิว: คอนเนกชั่นที่แข็งแรง ซึ่งเป็นคอนเนกชั่นที่สร้างมาเกือบ 10 ปี เป็นระยะเวลาที่นานเหมือนกัน เราเคยคุยกับน้องคนหนึ่งว่า การที่มีเทศกาลสิ่งพิมพ์เยอะขึ้นมันล้อไปกับจำนวนศิลปินที่มีเยอะขึ้น แต่สุดท้ายคนที่จะเปิด physical space อย่างเราได้อาจต้องมีคอนเนกชั่นที่แข็งแรง ด้วยความที่เราเติบโตมากับวงการสื่อและสำนักพิมพ์ด้วย มันจึงเอื้อกัน
ภู่ : ก่อนหน้านี้มีช่วงที่เราคุยกันว่าเราจะไปต่อดีไหม ในเมื่อธุรกิจนี้มันทำเงินได้ แต่มันไม่ได้ทำเงินดีขนาดนั้น เราควรย้ายไปทำอย่างอื่นหรือเปล่า เราครุ่นคิดอยู่นาน แต่พอผ่านช่วงนั้นไป คำตอบของเราคืออยากทำต่อ ร้านนี้มันเป็นตัวเราไปแล้ว ถ้าเราไม่ทำเราก็จะเสียใจไปตลอดชีวิต
วิว : มันคือตัวตนว่ะ เราทำต่อเพราะเราทิ้งตัวตนเราไม่ได้ ต่อให้เราไปทำอย่างอื่น ไปทำงานประจำที่ไม่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์แล้ว เราก็ยังมีสายตาคู่นี้อยู่ดี เราคิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดในโลกการทำงานคือการได้ทำสิ่งที่เป็นตัวเองมากๆ และมีคนยอมรับในงานของเรา ซึ่งโชคดีที่งานตอนนี้มันเป็นแบบนั้นโดยที่เราไม่ต้องพยายามหนักมาก
ในขณะเดียวกัน งานนี้ก็ทำให้เราสนุกกับการรอว่าใครจะมาค้นพบเรา เราไม่ได้ทำธุรกิจที่วิ่งหาใครแต่ทำในเชิง ‘มาค้นพบฉันสิ’ อย่างอยู่ดีๆ นิตยสารที่เราชอบมากอย่าง POPEYE และ BRUTUS มีเราอยู่ในนั้นในฉบับที่วางแผงเดือนเดียวกัน เรามีความสุขกับตรงนี้มาก และเราคิดว่าการทำงานที่ได้รับการยอมรับเป็นสิ่งที่มนุษย์พึงมีที่สุดแล้ว
3 สิ่งที่ผู้ประกอบการร้านหนังสืออิสระควรมี
แนะนำโดย วิว-ภู่ ผู้ก่อตั้ง SPACEBAR ZINE
1. มีสายตาที่กว้างขวาง เห็นและรู้จักสิ่งพิมพ์ให้มากที่สุด
2. รู้จักลูกค้าของเราว่าเขาต้องการอะไร
3. ทำธุรกิจแบบไม่กลัวเลยก็ไม่ดี กลัวบ้างก็ดี อีกอย่างคือทำยังไงก็ได้ให้ธุรกิจไปต่อได้โดยที่ไม่ทิ้งมันไปก่อน