"ผู้คนมากมายกระเสือกกระสนในการใช้ชีวิต และผมอยากซื่อสัตย์กับประเด็นนี้ที่สุด" ว่าด้วยภาษาหนังอันน่าอึดอัดและขันขื่นของ ‘พัค ชานอุค’ ผู้กำกับหนังเกาหลีแห่งศตวรรษที่ 21
ปี 2003 โลกต้องตกตะลึงเมื่อหนังสัญชาติเกาหลีเรื่องหนึ่งว่าด้วยการล่าล้างแค้นของชายที่ถูกขังอยู่ในห้องเล็กๆ นาน 15 ปีออกฉาย ด้วยเส้นเรื่องที่ทรมานหัวใจ หลายฉากชวนผะอืดผะอมจนถึงขั้นสะอิดสะเอียน ไปจนถึงการจับจ้องยังความเป็นมนุษย์ ในโลกที่แทบไม่เหลือความเป็นมนุษย์ของตัวละคร
ว่าไปแล้ว Oldboy (2003) คือหนังเรื่องแรกที่ส่ง พัค ชานอุค คนทำหนังชาวเกาหลีใต้ออกสู่สายตาชาวโลก มันส่งเขาเข้าชิงรางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลหนังเมืองคานส์เป็นครั้งแรก และเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของเขาในฐานะคนทำหนังชาวเกาหลีร่วมสมัย ที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมภาพยนตร์จากแดนโสมในสนามภาพยนตร์โลกจนถึงปัจจุบัน
ชื่อของชานอุคกลับมาอยู่บนหน้าสื่อและสายตาอีกครั้งเมื่อ No Other Choice (2025) หนังยาวลำดับล่าสุดของเขาออกฉายรอบปฐมทัศน์ที่เทศกาลหนังเวนิสครั้งที่ 82 นี้ หนังดัดแปลงมาจากนิยายชื่อ The Ax (1997) โดยนักเขียนชาวอเมริกัน โดนัลด์ อี เวสต์เลค เล่าเรื่องของชายคนหนึ่งที่กระเสือกกระสนหางานใหม่ หลังถูกไล่ออกจากงานเก่าที่ทำมากว่าสองทศวรรษ
ตามข้อมูลอย่างคร่าวที่ระบุไว้กับสื่อ No Other Choice ถูกนิยามว่าเป็นหนังทริลเลอร์ตลกร้าย ซึ่งหากใครเคยมีประสบการณ์กับหนังของชานอุค ก็อาจเข้าใจตั้งแต่แรกว่า 'ตลก' ในหนังของเขานั้นส่วนมากแล้วค่อนไปทางขันขื่น หลายครั้งก็ยิ้มทั้งน้ำตา -ที่ก็เป็นทั้งน้ำตาจากความเคียดแค้นชิงชัง หรือความเศร้าโศกไม่มีที่ไป- ทั้งยังเป็นความตลกที่มักมาจากความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของชีวิต
ที่สำคัญคือหนังของชานอุคนั้นมักห่มคลุมด้วยกลิ่นอายความเป็นทริลเลอร์ บรรยากาศไม่น่าไว้วางใจชวนอึดอัด ซึ่งว่าไปแล้วก็ไม่แปลก เพราะชานอุคเล่าว่า คนทำหนังที่บันดาลใจเขาตั้งแต่เด็กๆ คือ คิม คียอง ราชาหนังเขย่าขวัญชาวเกาหลีใต้กับ อัลเฟร็ด ฮิตช์ค็อก คนทำหนังออเตอร์ชาวอเมริกันผู้เชี่ยวชาญเรื่องการวางกับดักในใจคนดู… ทว่า การได้ดูหนังเหล่านี้ก็เป็นเรื่องทุลักทุเลของชานอุคในวัยนั้นไม่น้อย
"จำได้ว่าผมเริ่มจากการดูหนังเรื่อง Woman of Fire '82 (1982) ของคิม คียองและต่อมาก็ได้ดู Vertigo (1958) ซึ่งต่างจากตอนดู Woman of Fire '82 มากเพราะผมดูหนังของคิม คียองในโรงหนัง ขณะที่ผมดู Vertigo จากเทปวิดีโอ ฉายบนจอเล็กๆ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือไม่มีคำบรรยายทั้งภาษาอังกฤษและภาษาเกาหลี ผมเลยต้องจินตนาการเรื่องราวทั้งหมดเอาเอง ถมช่องว่างด้วยการแต่งเติมเรื่องในหัว" ชานอุคเล่า "แต่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกหรอก สมัยนั้นโอกาสจะได้ดูหนังในเกาหลีไม่ค่อยมีนัก สมัยยังเด็ก ตั้งแต่เรียนประถมจนเข้ามหาวิทยาลัย ก็มีโทรทัศน์ช่องหนึ่งที่ฉายรายการจากกองทัพสหรัฐฯ แล้วที่ฉายก็ไม่มีคำบรรยายใดๆ ทั้งสิ้น แถมผมยังต้องดูเป็นภาพขาวดำอีกแม้ต้นทางจะถ่ายมาเป็นภาพสีก็ตาม เพราะกว่าเกาหลีจะฉายรายการเป็นภาพสีได้ก็ตอนยุค 80s แล้วโน่น เพราะฉะนั้นการแต่งเติมเรื่องราวด้วยตัวเอง ไปจนถึงการจินตนาการว่าสีของภาพจากต้นทางจริงๆ แล้วเป็นสีไหน ก็เป็นสิ่งที่ผมทำมาตลอดน่ะ"
เส้นทางการเติบโตในฐานะคนทำหนังของชานอุคไม่ได้เป็นเส้นตรงนัก เขาเข้าเรียนคณะปรัชญา มหาวิทยาลัยซอกัง อันเป็นสถาบันที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นโรงเรียนนักบวชคณะเยสุอิต ทำให้หลายครั้ง ชานอุคพบว่าบทเรียนปรัชญาถูกตีความเข้ากับศาสนาคริสต์ (โดยนักบวชก็มักทำหน้าที่เป็นครูสอนอีกต่างหาก) และโลกคริสตจักรสมัยยุคกลาง ซึ่งเนื้อหาเหล่านี้อยู่ห่างไกลจากความสนใจของชานอุคลิบลิ่ว ในทางกลับกัน เขาพบว่าช่วงนั้นเขาหมกมุ่นอยู่กับภาพยนตร์และภาพนิ่งมากกว่า เขาจึงค่อยๆ เก็บเกี่ยว สั่งสมประสบการณ์การดูหนังทีละเล็กทีละน้อย โดยที่บริบทรอบตัวตอนนั้นคุกรุ่นด้วยความรุนแรงทางการเมือง
"ผมเข้ามหาวิทยาลัยปี 1982 ซึ่งเป็นปีที่สำคัญสำหรับหน้าประวัติศาสตร์เกาหลีร่วมสมัยมาก เพราะมันเป็นปีที่เหล่านักศึกษาออกเดินขบวนประท้วงต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่" เขาเล่า "การเข้าเรียนในชั้นเรียนกลายเป็นเรื่องยากเพราะที่มหาวิทยาลัยมีแต่เจ้าหน้าที่จากกองทัพ -ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เราเห็นทั่วไปด้วยนะครับ- พวกเขาใช้กำลังความรุนแรงกับนักศึกษา เราต้องหาทางรับมือกับแก๊สน้ำตาในมหาวิทยาลัยทุกวี่ทุกวัน ไม่ก็ต้องได้ยินว่าเพื่อนของเรา หรือนักศึกษาสักคนฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดตึก ไม่ก็ได้ยินว่ามีคนถูกเจ้าหน้าที่รัฐทรมาน”
"มันเป็นช่วงเวลาที่ยากเย็นมากๆ และถือเป็นช่วงที่ยากสำหรับนักศึกษาที่จะเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยด้วย"
สำหรับชานอุค -และเช่นเดียวกับหนุ่มสาวชาวเกาหลีใต้ในเวลานั้นอีกหลายล้านชีวิต- ห้วงเวลาดังกล่าวถือเป็นช่วงเวลาอันแสนเจ็บปวด พื้นที่ในการเรียนรู้และใช้ชีวิตอย่างมหาวิทยาลัยถูกคุกคามโดยรัฐ โลกที่ชานอุคเลือกกระโจนหลบหนีไปพักใจคือโลกแห่งวรรณกรรม "มันทำให้ผมได้เรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสังคมน่ะ" ชานอุคบอก สำหรับเขา วรรณกรรมคือประตูบานสำคัญที่พาไปสู่การสนทนากับจินตนาการของตัวเอง มิหนำซ้ำ เขายังพบว่าตัวเอง 'คิดเป็นภาพ' ชัดเจนจากการตะบี้ตะบันอ่านวรรณกรรมเหล่านี้ด้วย ชานอุคจึงไล่อ่านงานวรรณกรรมหลากหลายประเภทเพื่อหลบหนีจากความเจ็บปวดในโลกแห่งความจริง ไปสู่โลกที่เขารังสรรค์ขึ้นมาในหัวตัวเอง "ผมโตขึ้นมาในครอบครัวชนชั้นกลางที่ไม่ค่อยมีเรื่องราวหรือเหตุการณ์อะไรสลักสำคัญเท่าไหร่" เขาบอก "ผมเลยหมกมุ่นกับเรื่องน่าตื่นเต้น หวือหวาเสมอ"
The Moon Is… The Sun's Dream (1992) เป็นหนังยาวเรื่องแรกของชานอุค ที่เขาประเดิมอาชีพคนทำหนังของตัวเองด้วยลายเส้นที่ชัดเจนสุดๆ นั่นคือการกระโจนเข้าไปในฌ็องหนังโรแมนติกทริลเลอร์ เล่าเรื่องของรักสามเส้าระหว่างนักร้องสาวกับชายสองคนซึ่งเป็นพี่น้องกัน หนึ่งในนั้นเป็นนักเลงเลือดร้อน และอีกคนเป็นช่างภาพแถวหน้าของเกาหลี
อาจจะเพราะยังใหม่กับงานกำกับ หนังเรื่องแรกของชานอุคถูกนักวิจารณ์สับเละว่าน้ำเน่า ทิศทางการเล่าเรื่องก็สะเปะสะปะ มันยับเยินระดับที่แม้แต่ชานอุคเองก็ออกมาให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า เขาดีใจที่หลายคนไม่ได้ดูหนัง The Moon Is… the Sun's Dream เรื่องนี้
"ถือเป็นเรื่องดีๆ ที่หลายๆ คนไม่เคยได้ดู คือผมทำหนังเรื่องนี้ตอนอายุราวๆ ยี่สิบกว่า ใจมันนึกอยากแต่จะทำหนังให้ได้ และนี่แหละครับ ผลลัพธ์" เขาบอก "มันเป็นหนังทุนต่ำมาก อ่อนไหว แล้วก็เอ่อ… อย่างที่เรารู้กันนั่นล่ะครับ ว่ามันห่วยแตกเป็นบ้า"
หากแต่นั่นก็เป็นเพียงปฐมบทการออกเดินทางของชานอุคในฐานะคนทำหนัง เพราะในอีกไม่กี่ปีต่อมา เขากำกับ Sympathy for Mr. Vengeance (2002) หนังนีโอ-นัวร์ที่ทำให้เหล่านักวิจารณ์พากันมองเขาในแง่มุมใหม่ กับเส้นเรื่องที่เครียดเขม็งจนสมองจะระเบิด จับจ้องไปยังหนุ่มใบ้ที่เก็บเงินดูแลพี่สาวซึ่งป่วยหนักและจำต้องปลูกถ่ายไตใหม่ ชีวิตว่าหนักหนาแล้วหากชะตากรรมก็เล่นตลกให้เขาต้องตกงาน และเพื่อจะช่วยพี่ให้ได้ เขาจึงยอมทำทุกทาง -รวมทั้งอาชญากรรม- เพื่อหาเงินก้อนพาพี่สาวไปผ่าตัดให้รอดชีวิต
ลำพังเส้นเรื่องที่พูดถึงคนตัวเล็กตัวน้อยกับชีวิตที่ถูกบดขยี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็หนักพอแล้ว ตัวละครของชานอุคยังเป็นใบ้ เป็นคนชายขอบของสังคมเต็มตัว และจะว่าไป เส้นเรื่องที่ว่าด้วยการที่ตัวละครทำผิดจนกลายเป็นเรื่องบานปลายก็ไม่ใช่สิ่งใหม่ หากแต่ในหนังของชานอุค มันกลับเต็มไปด้วยความขมขื่นทุกวินาที ทั้งชะตากรรมยังผลักให้ตัวละครหลังชนฝา ลงเอยที่การแลกเป็นแลกตายกับชีวิตเพราะไม่มีอะไรให้เสียไปมากกว่านี้
Sympathy for Mr. Vengeance ถือเป็นหนังเรื่องแรกของไตรภาคล้างแค้น (Vengeance Trilogy) และเต็มไปด้วยลายเส้นเฉพาะตัวของชานอุคอันจะปรากฏในหนังเรื่องต่อๆ มาของเขา ไม่ว่าจะเป็นความเป็นหนังทริลเลอร์, ตัวละครที่ต้องกระเสือกกระสนใช้ชีวิตอย่างเจ็บปวด แทบไม่เหลือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์, ฉากเซ็กซ์ดุเดือด และความรุนแรงที่ตัวละครกระทำต่อกัน
"หนังเกาหลีส่วนใหญ่มักถ่ายทอดว่าชีวิตคือความสวยงาม แต่ไม่เลย ที่จริงแล้ว ชีวิตเป็นเรื่องยากลำบากเหลือเกิน" ชานอุคบอก "ผู้คนมากมายกระเสือกกระสนใช้ชีวิต ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยเห็นในหนังเท่าไหร่นัก และผมอยากซื่อสัตย์ต่อประเด็นนี้ให้มากที่สุด"
ต่อจากนั้นก็ตามมาด้วย Oldboy หนังลำดับที่สองในไตรภาคล้างแค้น และเป็นหนังที่ส่งชานอุคประสบความสำเร็จในวงกว้างเป็นเรื่องแรก หรือกล่าวให้กว้างกว่านั้น มันพาอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีไปสู่จุดที่ไกลกว่าเดิม นับเป็นหนึ่งในหนังโปรดของ เควนติน ทารันติโน คนทำหนังชาวอเมริกันที่ปีนั้นเป็นประธานคณะกรรมการเทศกาลหนังเมืองคานส์ด้วย ทั้งยังส่งผลให้มีผู้ซื้อหนังไปจัดจำหน่าย ฉายในสหรัฐฯ จนทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ ชานอุคบอกว่า "เวลาทารันติโนคุยกับผมเรื่องหนัง เขาอธิบายรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทุกฉากได้หมดเลย จำได้กระทั่งสิ่งที่ตัวผมเองยังลืมด้วยซ้ำ" เขาบอก "เขากระตือรือร้นเวลาพูดถึงหนังมากๆ พอฟังเขาพูดแล้วมันเหมือนเขาไม่ได้กำลังพูดถึงหนังของผมเลย ทำเอาผมอยากกลับไปดูหนังของตัวเองเลยแน่ะ"
สำหรับชานอุค เรื่องของความเคียดแค้นชิงชังถือเป็นประเด็นสำคัญที่เขาอยากสำรวจต่อจากหนังเรื่องก่อน "เวลาผมโกรธ ผมระเบิดอารมณ์ต่อหน้าคนอื่นไม่ได้ ความโกรธมันจึงฝังสะสมในตัวผมเรื่อยมา และผมอยากระเบิดมันผ่านภาพยนตร์น่ะ" เขาบอก "แต่ถ้าอยากทำหนังที่ว่าด้วยความรุนแรงแค่เพื่อสนองตอบใจตัวเองก็คงรู้สึกผิด ก็เลยอยากสำรวจด้านมืดของความรุนแรงและการล่าล้างแค้นด้วย แม้การล้างแค้นนั้นจะมีเหตุผลที่ดีก็ตาม"
มองในแง่ภาษาภาพยนตร์ Oldboy ยังฉายพัฒนาการของชานอุคในฐานะคนทำหนัง ทั้งสไตล์การลากกล้อง, งานภาพเดือดดาล หรือการสร้างมวลความรู้สึกอึดอัดเหมือนถูกขังอยู่ในพื้นที่แคบตลอดครึ่งแรกของเรื่อง ขณะที่ครึ่งหลัง มันก็แทบไม่ประนีประนอมต่อความรุนแรงด้านความรู้สึกของตัวละครและคนดู โดยที่ชานอุคก็ยืนยันว่า ในแง่งานภาพที่ปรากฏบนจอภาพยนตร์นั้น เขาไม่คิดว่าตัวเองกำลังฉาย 'ความรุนแรง' เกินกว่าที่ผู้คนจะรับได้ "ผมไม่ได้ฉายภาพว่ามีอวัยวะไหนถูกตัดขาด กล้องขยับจากดวงตาของตัวละครไปยังมือแทน ผมไปไกลสุดแค่นั้นแหละ" เขาบอกถึงฉากสำคัญของเรื่อง กระนั้น ตัวหนังก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากคนดูหนังในเกาหลีใต้ในแง่การเผยแพร่ความรุนแรงดิบเถื่อน
"ส่วนใหญ่คนที่พูดแบบนั้นก็เป็นคนที่เคร่งศาสนาน่ะ อันที่จริง เราหาทางระบายความรุนแรงออกอยู่เรื่อยๆ แหละ เพราะเราต่างผ่านช่วงเวลาที่การใช้ความรุนแรงภายใต้ระบอบเผด็จการทหารกลายเป็นเรื่องปกติมาแล้วทั้งนั้น"
มิหนำซ้ำ มองย้อนกลับไป ชานอุคยังพบว่าความแค้นเคืองที่ปรากฏในหนังนั้น ส่วนเสี้ยวหนึ่งก็เป็นความรู้สึกส่วนตัวที่เขามีต่อตัวเองด้วย "เพื่อนผม รุ่นพี่ผม รุ่นน้องผมที่มหาวิทยาลัยรวมตัวกันสู้กับเผด็จการทหาร ส่วนผมน่ะทั้งอ่อนแอและขี้ขลาด สู้อะไรกับใครเขาไม่ได้เลย" ชานอุคเล่า "และคนที่กล้าหาญที่สุด ลงเอยด้วยการสละตัวเองพ่ายให้ความรุนแรงในเหตุการณ์เหล่านั้น และนี่แหละที่ทำให้ผมสนใจธีมที่ว่าด้วยความรู้สึกผิดและการไถ่โทษน่ะ"
ความแค้น และเรื่องของการไถ่คืนความรู้สึกผิดจึงเป็นธีมสำคัญที่ชานอุคใช้เล่าหนังปิดไตรภาคล้างแค้นใน Lady Vengeance (2005) -หนังที่ส่งชานอุคเข้าชิงรางวัลสิงโตทองคำจากเทศกาลหนังนานาชาติเวนิส- เล่าเรื่องหญิงสาวที่ต้องโทษ 13 ปีด้วยข้อหาฆาตกรรมเด็กอนุบาลซึ่งเธอไม่ได้ก่อ ตลอดเวลาที่เธอใช้ชีวิตในคุก เธอทำตัวเป็นนักโทษชั้นดีที่คอยดูแลเพื่อนๆ ผู้ต้องขังจนถูกเรียกว่าเป็นแม่พระ ก่อนที่เวลาจะค่อยๆ เผยว่า ความดีงามผ่องแผ้วนี้แท้จริงแล้ว เป็นหมากหนึ่งของเธอในการวางแผนการล่าแค้น
ประเด็นของหนังอยู่ที่การออกมาล่าแค้นของหญิงสาวหลังเธอได้รับการปล่อยตัว เมื่อเธอจับฆาตกรที่แท้จริงได้และเตรียมทารุณกรรมอย่างถึงเลือดถึงเนื้อ เพื่อจะพบว่าแท้จริงแล้วเขาเก็บงำความลับดำมืดน่าสะอิดสะเอียนเสียจนเธอคาดไม่ถึง ความแค้นส่วนตัวขยับไปสู่ความแค้นส่วนรวมที่ฉายภาพดำมืดของมนุษย์ได้แสนหดหู่ใจเป็นที่สุด
Lady Vengeance นับเป็นหนังเรื่องแรกและเรื่องเดียวของไตรภาคที่ดำเนินเรื่องด้วยตัวละครหญิง และข้อเท็จจริงประการนี้ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ตัวละครหญิงใน Oldboy เป็นตัวละครเดียวที่ใช้ชีวิตโดยไม่รับรู้ความจริง ซึ่งเมื่อมองย้อนไป ชานอุคพบว่ามันรบกวนจิตใจเขาเอามากๆ "ยิ่งในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ -โดยเฉพาะหนังยาว- เราก็ไม่ค่อยมีหนังที่เล่าผ่านตัวละครหลักที่เป็นผู้หญิงเท่าไหร่ ผมมาตระหนักประเด็นนี้ก็ตอนเตรียมทำหนังเรื่องนี้นี่แหละ”
"และพอคุณให้ผู้หญิงเป็นศูนย์กลางของหนัง หนังมันก็ดูสมบูรณ์ขึ้นมาเลย ดูเป็นหนังที่มีชั้นเชิงในการเล่าขึ้นมาทันที" ชานอุคบอก "อีกอย่าง ผมเองก็มีลูกสาว และพอเธอโตขึ้น ผมก็ได้คุยกับลูกมากขึ้น และเพราะได้คุยกับภรรยาและลูกสาวมากขึ้นนี่เอง ผมจึงได้เรียนรู้การมองโลกผ่านมุมมองของผู้หญิง จะเรียกว่าเป็นกระบวนการบางอย่างก็ได้มั้ง -แต่ผมพบว่าผมโตขึ้นจากกระบวนการเหล่านี้นะ"
และขณะที่โลกเริ่มจดจำเขาในฐานะผู้กำกับที่ทำหนังล้างแค้นได้เลือดเย็นมากที่สุดคนหนึ่ง ชานอุคก็กลับมาพร้อมหนังรักโรแมนติก (!?) เรื่องแรกอย่าง I'm a Cyborg, But That's OK (2006) ที่ได้ซูเปอร์สตาร์เกาหลีอย่าง จอง จีฮุน หรือเรน มารับบทนำ และเป็นหนังยาวเรื่องแรกที่เขาแสดงด้วย
แต่ก็นั่นแหละ ตามประสาหนังของชานอุค หนังโรแมนติกในแบบของเขามันก็กระโจนออกมาจากฌ็องโรแมนติกตามมาตรฐานทั่วไปอยู่แล้ว โดยเฉพาะในมาตรฐานเกาหลี เพราะหนังเล่าถึงหญิงสาวที่คิดว่าตัวเองเป็นไซบอร์ก เธอจึงไม่ดื่มไม่กินและรับพลังงานผ่านการชาร์จแบตเตอรี่แทน ทำให้ร่างกายของเธอผ่ายผอม (ก็แน่ล่ะสิ!) ก่อนที่คนรอบตัวจะส่งเธอไปรักษาตัวในโรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยคนป่วยไข้มากมาย หนึ่งในนั้นคือชายประหลาดที่เชื่อว่า เขาขโมยของได้ทุกอย่าง รวมทั้งอัตลักษณ์ส่วนตัว อารมณ์และความรู้สึกของเป้าหมายด้วย
อาจจะพูดได้ว่าสมัยที่หนังออกฉาย มันเรียกกระแสฮือฮาได้พอสมควรเพราะทีท่าการเป็น 'หนังรัก' รสชาติประหลาดของมัน ตลอดจนมีน้ำเสียงของความหดหู่ปวดร้าวตลอดทั้งเรื่องมากกว่าจะโรแมนติก อีกด้านหนึ่ง มันก็เป็นหนังที่ชานอุคผ่อนไม้ผ่อนมือกับงานภาพและความรุนแรงที่เห็นได้ด้วยตาเนื้อมากที่สุดอีกเรื่อง หากแต่ก็ยังพูดถึงความรุนแรงและความเจ็บปวดของการกระเสือกกระสนมีชีวิตอย่างแยบยล ก็ไม่น่าแปลกที่มันจะเป็นหนัง 'ผิดคาด' ของคนดูที่อยากเข้าไปดูหนังรัก (และจอง จีฮุน) และทั้งกับคนที่อยากเข้าไปดูหนังล้างแค้นรุนแรง
"พอคุณทำหนังล้างแค้นติดกันสักสามเรื่องแบบผม คุณก็อยากเปลี่ยนทางเหมือนกันแหละน่า" ชานอุคบอก "แต่เหตุผลอีกประการคือ ผมอยากทำหนังที่ลูกสาวผมดูได้ด้วย คือตอนที่เธอยังเล็กมากๆ เธอเหงาอยู่บ่อยๆ เพราะผมต้องออกกองไปถ่ายหนังที่โน่นที่นี่ตลอด หนังเรื่องนี้จึงเป็นเสมือนของขวัญสำหรับลูกน่ะ อีกอย่าง ที่ผ่านมาเธอมีพ่อเป็นผู้กำกับ แต่ดูหนังของพ่อตัวเองไม่ได้สักเรื่อง เพราะงั้น หนังเรื่องนี้จึงถือเป็นของขวัญให้ลูกนะ!"
ความเซอร์อีกอย่างคือ ชานอุคเจอจอง จีฮุนมาแสดงในงานประกาศรางวัลงานหนึ่งโดยบังเอิญ "ผมมารู้ทีหลังว่าเขาอยากแสดงหนังมาก เพราะงั้นเลยขึ้นเวทีทุกงานที่มีผู้กำกับไปรวมตัวกันเยอะๆ ตอนเขาขึ้นโชว์ ผมเห็นนักแสดงหญิงเบอร์ต้นๆ ของเกาหลีมองเขาแบบหลงใหลสุดๆ ผมเลยคิดว่า ถ้าได้หมอนี่มาแสดงนำ ก็น่าจะชวนนักแสดงหญิงคนอื่นได้ไม่ยากมั้ง" (อย่างไรก็ดี หนังได้นักแสดงหญิงแถวหน้าของเกาหลีอย่าง อิม ซูจอง ที่เป็นนักแสดงโปรดของชานอุคมารับบทนำ และไม่เกี่ยวอะไรกับจอง จีฮุนสักนิด)
ชานอุคยังข้ามสายมากำกับหนังพูดภาษาอังกฤษเรื่องแรกคือ Stoker (2013) หนังร่วมทุนสร้างสองสัญชาติ (สหราชอาณาจักร-สหรัฐอเมริกา) ที่หวนกลับมาเล่าเรื่องชวนปวดตับอีกครั้งผ่านครอบครัว สโตเกอร์ เมื่อพ่อผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวตายลง เหลือลูกสาววัยรุ่นเคว้งคว้างไว้ในบ้านหลังงาม ในวันจัดงานศพของพ่อ ลุงรูปหล่อปรากฏตัวขึ้นและใช้ชีวิตอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับเธอ สร้างสายสัมพันธ์วาบหวามอ่อนไหวและต้องห้ามขึ้นมา ท่ามกลางการจับตาดูของแม่ที่อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ และงำความลับบางอย่างไว้ตลอด
หนังทำรายได้ไปเสมอตัวที่ 12 ล้านเหรียญฯ เท่าทุนสร้าง ขณะที่คำวิจารณ์ก็ไม่ย่ำแย่นัก ตัวหนังได้รับอิทธิพลมาจาก อัลเฟร็ด ฮิตช์ค็อก คนทำหนังออเตอร์ชาวอเมริกัน ในแง่การสำรวจปมจิตใจอันซับซ้อนของตัวละคร และสายตาของชานอุคกับเหลี่ยมมุมการจับจ้องไปยัง 'ภาวะต้องห้าม' ในครอบครัว
ชานอุคกลับมาทำหนังในบ้านเกิดอีกครั้งใน The Handmaiden (2016) ซึ่งทำเงินถล่มทลายที่ 38.6 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้าง 8 ล้านเหรียญฯ หรือราวๆ หมื่นล้านวอน หนังเล่าช่วงเวลาที่เกาหลียังอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่น ซึกฮี (คิม แทรี) หญิงสาวใสซื่อนางหนึ่งเข้ามาทำงานเป็นคนรับใช้ให้ ฮิเดโกะ (คิม มินฮี) คุณหนูผู้เก็บตัวและเป็นที่หมายปองของ โคสึกิ (โจ จินวุง) ลุงแท้ๆ จอมบงการของเธอ กับท่านเคาต์ ฟูจิวาระ (ฮา จองอู) มหาเศรษฐีที่หวังฮุบสมบัติของคุณหนู และหนึ่งในแผนการของเขา -นอกจากแต่งงานกับเธอแล้ว- คือการส่งซึกฮีเข้ามาเป็นสายลับด้วย โดยที่ไม่มีใครเฉลียวใจสักนิดว่า ความสัมพันธ์ของคุณหนูที่ดูจะใสซื่อกับสาวรับใช้สองหน้า จะเป็นชนวนของการหักหลังและทำลายล้างกันในท้ายที่สุด
พ้นไปจากฉากเร่าร้อนที่ส่งหนังคว้าเรต R ตัวหนัง The Handmaiden ก็ถูกอ่านว่าเป็นหนังที่ 'ทำลายโลก' ชายเป็นใหญ่มากที่สุดของชานอุค เมื่อตัวละครชายในเรื่องกลายเป็นตัวละครเปิ่นเป้อ งุ่มง่ามและถูกสับขาหลอกตลอดทั้งเรื่อง "มันเป็นหนังที่ผมผลักประเด็นเฟมินิสต์มากที่สุดแล้วล่ะ โดยพื้นฐานแล้ว ตัวหนังก็ต่างจากหนังเรื่องก่อนๆ ของผมด้วยเพราะมันว่าด้วยหญิงสาวสองคน ไม่ใช่ผู้หญิงที่ต้องต่อสู้อยู่เพียงคนเดียว แต่เป็นหญิงสองคนที่ตกหลุมรักกันและสร้างความสัมพันธ์ขึ้นมาด้วยกัน
"ในหนัง คุณจะพบว่าผู้ชายน่ะคือตัวร้าย ผู้ชายทุกคนในเรื่องน่าสมเพชสิ้นดี ขณะที่ตัวละครมาดเท่สุดๆ คือตัวละครหญิงทั้งนั้น อ้อ… จะมีตัวละครชายที่น่ารักหน่อยก็คือทารกน้อยในหนังนั่นแหละ" ชานอุคบอก
ห่างหายไปร่วมหกปี ชานอุคกลับมาอีกครั้งพร้อม Decision to Leave (2022) หนังที่ส่งเขาคว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังเมืองคานส์และชิงรางวัลปาล์มทองคำ หนังพูดถึงคดีชวนเวียนหัวของชายคนหนึ่งที่หลักฐานหลายอย่างบ่งชี้ว่า เมียที่เป็นหญิงต่างชาติของเขาคือฆาตกร แฮจุน (ปาร์ค แฮอิล) นักสืบหนุ่มที่ชีวิตการแต่งงานแห้งแล้งกระโจนเข้าไปสืบคดีชายพลัดตกจากผา ขณะที่ ซอแร (ถังเหว่ย) เมียชาวจีนของผู้ตายที่พูดภาษาเกาหลีไม่แข็งนัก ดูไม่สะทกสะท้านกับการตายของสามี ทั้งยังกลับไปใช้ชีวิตด้วยการทำงานดูแลผู้สูงอายุตามเดิม แฮจุนสันนิษฐานว่าเธอน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายจึงค่อยๆ ตามสืบชีวิตส่วนตัวเธอ หากแต่ยิ่งทำให้เรื่องราวยุ่งเหยิงขึ้นเพราะเขาดันถอนตัวจากเธอไม่ขึ้นเสียเอง
ภายใต้น้ำเสียงและท่วงท่าการเล่าเรื่องอันแม่นยำ ลายเส้นที่ว่าด้วยการสำรวจเงื่อนปมซับซ้อนในใจมนุษย์ของชานอุค หลายคนก็ตั้งข้อสังเกตว่า Decision to Leave มีฉากความรุนแรงน้อยกว่าที่พวกเขาคุ้นเคย
"ก่อนหน้าทำหนังเรื่องนี้ ผมถามตัวเองว่าถ้าเที่ยวไปบอกคนอื่นว่ากำลังทำหนังรักเรื่องใหม่ คนเขาจะหัวเราะผมหรือเปล่านะ" ชานอุคบอก "เพราะที่ผ่านมา ทำหนังที่มีฉากความรุนแรงกับเซ็กซ์เยอะมาก คนเลยไม่ค่อยมองว่าหนังของผมเป็นหนังรักน่ะ
"ผมเลยตระหนักได้ว่า ถ้าอยากให้คนมองหนังเรื่องนี้เป็นหนังรัก ก็ต้องลดระดับความรุนแรงและฉากเปลือยลงบ้าง คนจะได้เห็นน้ำเสียงของความโรแมนติกชัดขึ้น"
นักวิจารณ์หลายเสียงลงความเห็นเช่นเดียวกับเรื่อง Stoker ว่า หนังดูจะได้รับอิทธิพลของฮิตช์ค็อก ทั้งในแง่เส้นเรื่องที่ว่าด้วยการฆาตกรรมและการหักหลัง อย่างนักสืบที่ตกหลุมรักหญิงผู้ว่าจ้างใน Vertigo (1958) หรือกระทั่งช่างภาพที่ผลาญเวลาไปกับการเฝ้ามองชีวิตคนอื่นจนเจอเรื่องเหวอเข้าให้ใน Rear Window (1954) ทั้งมันยังถูกอ่านได้ว่าเป็นหนังที่พูดถึงการเป็นอื่นหรือการเป็นคนนอกผ่านตัวของซอแร การดิ้นรนมีชีวิตในฐานะผู้หญิง ในฐานะผู้พลัดถิ่นที่ใช้ภาษาเกาหลีไม่คล่อง แต่ต้องมาให้ปากคำตำรวจในคดีใหญ่โต และกระทั่งว่า เป้าประสงค์ของเธอนั้น ถึงที่สุดแล้วคืออะไรกันแน่
"มันเลยไม่ใช่เรื่องที่ว่า ผู้หญิงคนนี้ฆ่าสามีของเธอจริงไหม เพราะมันเห็นกันชัดๆ อยู่แล้ว" ชานอุคบอก "เพราะงั้นถึงจุดนี้ มันเลยไม่ใช่หนังฟิล์มนัวร์หรือหนังสืบสวนสอบสวนลึกลับ หากแต่มันเปลี่ยนไปยังคำถามที่ว่า ทำไมผู้หญิงคนนี้จึงย้ายมาในเมืองใหม่ และเลือกเมืองที่คุณนักสืบย้ายไปก่อนต่างหากล่ะ"
อีกไม่นานนี้ นักวิจารณ์หลายคนคงได้ดู No Other Choice หนังยาวลำดับล่าสุดของเขา ที่แม้ฉากหน้าจะดูเคลือบไว้ด้วยเรื่องราวของคนจนตรอก แต่ก็น่าสนใจว่าหนังของชานอุคจะพาคนดูไปยังตำแหน่งแห่งหนอะไรใหม่ๆ แบบไหน ลูกล่อลูกชนของคนทำหนังที่พาอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีใต้ไปสู่สายตาชาวโลกในเหลี่ยมมุมใหม่จะสร้างความน่าตื่นตาตื่นใจแบบใดให้คนรักหนังทั้งหลายอีกบ้าง
บทความต้นฉบับได้ที่ : "ผู้คนมากมายกระเสือกกระสนในการใช้ชีวิต และผมอยากซื่อสัตย์กับประเด็นนี้ที่สุด" ว่าด้วยภาษาหนังอันน่าอึดอัดและขันขื่นของ ‘พัค ชานอุค’ ผู้กำกับหนังเกาหลีแห่งศตวรรษที่ 21
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ผีใช้ได้ค่ะ เพราะ ‘การจดจำ’ คือการต่อต้านในประเทศแห่งการหลงลืม
- เลือกตั้งพม่า 2025 คือทางออกจากวิกฤติ หรือเดินหน้าสู่สงครามยืดเยื้อ?
- รัฐบาลเดนมาร์กประกาศลดภาษีหนังสือ 25% เพื่อให้คนเข้าถึงการอ่านมากขึ้น
ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath