ปิดมหากาพย์ “เงินดิจิทัลวอลเล็ต” ตั้งงบแสนล้าน แจกไม่ได้สักสลึง
รัฐบาลเพื่อไทย หมายมั่นปั้นมือตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศ ด้วยการผลักดันนโยบายเรือธง “แจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต” 10,000 บาท ใส่ในกระเป๋าเงินดิจิทัลของคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป หวังให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจ กระตุกตัวเลข GDP ไทย ให้ขยายตัวอย่างน้อย 5% พร้อมสร้างโอกาสทางรายได้ และการจับจ่ายในประเทศ
แต่สุดท้ายนโยบายดังกล่าว กลับล้มเหลว แม้ว่ารัฐจะตั้งงบประมาณไว้หลายแสนล้านบาทตั้งแต่ ปีงบประมาณ 2567 จนมาถึงงบกลางปี 2568 ก้อนสุดท้าย 1.57 แสนล้านบาท เพราะท้ายที่สุดแล้ว งบประมาณทั้งหมดนี้กลับถูกกระจายไปให้โครงการอื่นแทนการแจกเป็น “เงินดิจิทัล” ตามเป้าหมาย
จุดเริ่มต้นของโครงการในช่วงแรกแม้จะทุลักทุเลไปหน่อย แต่รัฐบาล ณ ขณะนั้น ภายใต้นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ก็ได้ผลักดันนโยบายเข้าสู่ที่ประชุมครม. ในวันที่ 3 ตุลาคม 2566 โดยตั้ง คณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ขึ้นมา โดยมีนายกฯ เป็นประธาน เพื่อพิจารณารายละเอียดโครงการทั้งหมด
จนเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 นโยบาย “แจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต” ก็มีความชัดเจน หลังคณะกรรมการชุดใหญ่ ไฟเขียวรายละเอียดโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ให้คนไทย 50 ล้านคน ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป แต่มีเงื่อนไขคือต้องมีรายได้ไม่เกิน 7 หมื่นบาท หรือมีเงินฝากไม่เกิน 5 แสนบาทสามารถเข้าร่วมโครงการได้ พร้อมเตรียมออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กู้เงิน 5 แสนล้านบาท เพื่อนำเงินมาใช้สำหรับโครงการ
แต่การออกพ.ร.บ.กู้เงิน ก็ถูกพับลง เพราะเสี่ยงที่จะขัดต่อกฎหมายวินัยการเงินการคลัง จนทำให้รัฐบาลเปลี่ยนแหล่งเงินมาเป็นแบงก์รัฐ แต่ถึงที่สุดก็ไม่สามารถดำเนินการได้อีก จนเหลือทางเลือกเดียวคือรอ "งบประมาณ" โดยรัฐบาลได้จัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 จำนวน 122,000 ล้านบาท เพื่อเป็นแหล่งเงินประเดิมก้อนแรก
ส่วนในปี 2568 ก็ได้กันเงินที่จะเอามาใช้ในโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต ไว้ใน "งบกลาง" โดยเพิ่มรายการใหม่ขึ้นมาคือ รายการ ค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ วงเงินรวม 1.57 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตามโครงการ “แจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต” มีชัดเจนบนความไม่ชัดเจน เพราะสุดท้ายแล้วโครงการกลับยังไม่ถูกผลักดันออกมาได้สำเร็จ จะกระทั่งเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองกับนายกฯเศรษฐา โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ก็ถูกพับไปด้วย และเมื่อรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร เข้ามาก็ปรับรูปแบบ เป็นการแจกเงินลงไปโดยตรงแทนที่ เงินดิจิทัลวอลเล็ต และเปลี่ยนชื่อเป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เริ่มต้นที่กลุ่มเปราะบางแทน โดยสรุปข้อมูลการแจกเงินเป็นกลุ่ม ๆ ได้ดังนี้
แจกเงินรอบแรก กลุ่มเปราะบาง
รัฐบาลแพทองธาร ประชุมครม. เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 โดยเห็นชอบ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และคนพิการ ผ่านการโอนเงินลงไปในบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชนของกลุ่มเป้าหมาย 10,000 บาท จำนวน 14.55 ล้านคน โดยอนุมัติงบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการ ในวงเงินไม่เกิน 145,552 ล้านบาท แยกเป็น
ส่วนแรก คือ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 12.40 ล้านคน โดยเริ่มทยอยจ่ายเงิน 10,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2567 เป็นต้นไป
ส่วนที่สอง คือ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านคนพิการ ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 2.15 ล้านคน โดยเริ่มทยอยจ่ายเงิน 10,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2567 เป็นต้นไป เช่นกัน
แจกเงินรอบสอง ผู้สูงอายุ
ต่อมาเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2567 ครม. ก็ได้มีมติเห็นชอบแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 ให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ ผู้ที่ลงทะเบียนผ่านแอปฯ ทางรัฐ ที่มีสัญชาติไทย อายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 4 ล้านคน โดยจ่ายเงินกลุ่มเป้าหมาย 10,000 บาทต่อคน ในเดือนมกราคม 2568 ผ่านบัญชีพร้อมเพย์
แจกเงินรอบสาม กลุ่มเด็ก แต่พับแผน
ส่วนการแจกเงินใน เฟสที่ 3 คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568 ได้มีมติเห็นชอบแจกเงินดิจิทัล เฟส 3 กลุ่มอายุ 16-20 ปี ใช้งบประมาณ 27,000 ล้านบาท โดยรัฐบาล ประเมินว่า เงินก้อนนี้จะเริ่มต้นได้ประมาณไตรมาสที่สองของปี 2568 นี้ นั่นคือช่วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2568 ส่วนเฟส 4 ก็ตั้งความหวังว่าจะเป็นครั้งแรกที่แจกผ่าน "เงินดิจิทัลวอลเล็ต" 10,000 บาท ได้ในระยะถัดไป
แต่สุดท้ายความหวังทั้งหมดของการผลักดัน "แจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต" ก็พังทลายลง เพราะเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 นายกฯ แพทองธาร นัดประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2568 โดยที่ประชุมเห็นตรงกันว่าจะขอชะลอโครงการการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ออกไปก่อน เพราะประเทศไทยกำลังเจอวิกฤตทางด้านเศรษฐกิจหลายด้าน โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐอเมริกา
โดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ว่า รัฐบาลขอรอจนกว่าสถานการณ์จะเหมาะสม จึงจะนำโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ตกลับมาพิจารณาอีกครั้ง
“ตอนนี้รัฐบาลขอดูในเรื่องการบริหารจัดการงบประมาณที่เคยกันเอาไว้จำนวน 157,000 ล้านบาท จะนำไปใช้ในโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนแทน ทั้ง โครงการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำ การคมนาคมขนส่ง ด้านการท่องเที่ยว มาตรการช่วยเหลือธุรกิจ SME ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ" นายพิชัย ระบุ
ผ่างบ 1.57 แสนล้านบาท
สำหรับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ซึ่งได้ปรับเปลี่ยนไปรองรับวิกฤตเศรษฐกิจนั้น หลังจากที่หน่วยงานต่าง ๆ ได้จัดทำข้อเสนอเสร็จสิ้นก็ได้นำมาเสนอต่อที่ประชุมครม. ซึ่งได้เห็นชอบข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ที่ผ่านการพิจารณาของบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 จำนวน 50 หน่วยรับงบประมาณ 481 โครงการ 8,939 รายการ ภายในกรอบวงเงินรวม 115,375.2715 ล้านบาท
ส่วนที่เหลืออีกจำนวน 42,000 ล้านบาทเดิมรัฐบาลตั้งตั้งใจจะกันเงินส่วนนี้ ไว้ให้กับจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยมอบหมาย กระทรวงมหาดไทย ไปดำเนินการจัดทำข้อเสนอเข้ามาพิจารณา แต่ท้ายที่สุดได้มีการปรับเปลี่ยนโครงการกะทันหัน โดยเฉพาะรอยต่อในช่วงการปรับครม.ของ รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ที่มีการเปลี่ยนเจ้ากระทรวงมหาดไทย จากโควตาพรรคภูมิใจไทย มาเป็นพรรคเพื่อไทยแทน
จึงทำให้รัฐบาล ตัดสินใจปรับเปลี่ยนโครงการเดิมของ อปท. โดยทบทวนการใช้งบประมาณ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันที่สอดคล้องกับเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบ 3 ด้าน ได้แก่ 1. การบรรเทาผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจเติบโตในอัตราต่ำ 2. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และ 3. การช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยเปลี่ยนมาทำ 2 โครงการแทน นั่นคือ
1.การจัดสรรเงินให้กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10,000 ล้านบาท
2.การจัดสรรเงินให้กองทุนเงินให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา (กยศ.) 8,488 ล้านบาท
ทั้งนี้ในการจัดสรรเงินลงไปให้โครงการทั้งสองมีกรอบวงเงินรวม 18,488 ล้านบาท ซึ่งที่ประชุมครม.ได้เห็นชอบโครงการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตามในเงินงบกลางส่วนที่เหลือ ซึ่งเมื่อรวมกับวงเงินของโครงการที่ครม.อนุมัติไปเดิมแต่หน่วยงานใช้เงินไม่ทันและได้ส่งคืนเข้ามาที่สำนักงบประมาณ คิดเป็นกรอบวงเงินรวม 26,000 ล้านบาท นั้น ที่ประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2568 ได้มีมติเห็นชอบการโอนงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ทั้งหมด ไปเพิ่มในรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น แทน หลังจากพิจารณาแล้วคงเอาไปทำโครงการไม่ทัน
“ที่ผ่านมารัฐบาลได้อนุมัติเงินก้อนนี้ไป 2 ครั้ง และมีบางส่วนที่ใช้ไม่หมดก็เอามาคืน ทำให้เหลือวงเงินเหลือ 26,000 ล้านบาท ต่อไปจะเป็นหน้าที่ของสำนักงบประมาณที่จะไปจัดการ โดยจะไม่ใช่การกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว และคงต้องมาคุยว่าเงินที่โอนไปจะทำอะไร ซึ่งทั้งหมดต้องใช้ภายในเดือนกันยายน 2568 นี้” รองนายกฯ นายพิชัย แถลงภายหลังการประชุม
เป็นอันว่าปิดมหากาพย์ เมกะโปรเจกต์ด้านนโยบายของรัฐบาล ภายใต้โครงการ “แจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต” ที่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถผลักดันออกมาสำเร็จ อย่างเป็นทางการ