ดักเก็บ 4 หุ้นกำไร Q2 ฟอร์มแจ่ม! ดาวเด่น GULF โบรกเคาะเป้า 64.50 บาท
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2568 จนถึงวันที่ 14 สิงหาคม 2568 ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น 16.30% ซึ่งสูงกว่าตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลก ทั้งในกลุ่มประทศ TIP เอเชียเหนือ สหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศในยุโรป แต่แพ้เพียงเวียดนามประเทศเดียวที่ปรับตัว 19.20% เท่านั้น อย่างไรก็ตามช่วงดังมีแรงซื้อสุทธิเข้ามาจากสถาบันในประเทศ 1.06 หมื่นล้านบาท และต่างชาติ 1.40 หมื่นล้านบาท
ก่อนที่จะมีแรงเทขายทำกำไรออกมาเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568 ส่งให้ดัชนี SET Index ปิดที่ระดับ 1,259.42จุด ลบไป 7.25 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.83 หมื่นล้านบาท หลังจากไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาสนับสนุนเพิ่มเติม มีแต่สัปดาห์หน้าติดตามตัวเลข GDP ไทยที่จะประกาศออกมา
ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ได้ระบุผ่านบทวิเคราะห์วานนี้ 15 สิงหาคม โดยประเมินว่า SET Index สัปดาห์หน้า จะแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,255-1,275 จุด โดยระยะสั้นยังมีโอกาสชะลอตัวลดความร้อนแรงหลังจากปรับขึ้นแกร่ง 20% ขณะที่ระยะสั้นกระแสเงินทุนคาดชะลอตัวจากค่าเงินสกุลเอเชียที่เริ่มอ่อนค่าหลัง Dollar Index พลิกมาปรับตัวขึ้น
โดยล่าสุดตัวเลขเงินเฟ้อ PPI สหรัฐฯเดือนกรกฎาคม 2568 ออกมาสูงกว่าคาดพอสมควร เพิ่มขึ้น 0.90% เมื่อเทียบระหว่างเดือน และ 3.30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ทำให้ตลาดเริ่มกลับมาจับตาผลกระทบจากภาษีการค้าสหรัฐฯอีกครั้ง ซึ่งจะกระทบต้นทุนสินค้าให้ปรับตัวสูงขึ้นในระยะถัดไปส่งผลให้ Bond Yield และ Dollar Index พลิกมาปรับตัวขึ้น โดยปัจจุบันตลาดยังคาดหวัง ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายน 2568 แต่ลดโอกาสในรอบการประชุมเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2568 ลงบ้าง
ส่วนปัจจัยในประเทศติดตามการลงมติ พิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ปี 2569 วาระ 2-3 หากผ่านได้จะช่วยปลดล็อคความเสี่ยงเศรษฐกิจได้หนึ่งประเด็น ขณะที่โฟกัสหลักถัดไปจะอยู่ที่ ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งนัดอ่านคาวินิจฉัยคดีคลิปเสียง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีวันที่ 29 สิงหาคมนี้ ฝ่ายนักวิเคราะห์คาดว่าจะทำให้ดัชนีมีความผันผวนมากขึ้นในระยะนี้
ส่วนด้านผลประกอบการไตรมาส 2/2568 บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ประกาศเกือบครบแล้วโดยรวมใกล้เคียงกับที่ตลาดคาดการณ์ ซึ่งต้องติดตาม Outlook ช่วงครึ่งหลังปี 2568 จากบริษัทรวมถึงการทบทวนประมาณการ EPS ปี 2568 ปัจจุบันที่ราว 89 บาท ว่าจะยืนทรงตัวได้หรือไม่
สำหรับ SET ฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่าการพักตัวตราบใดยังไม่หลุดแนวรับหลัก 1,240+- จุด ระยะกลางยาวยังมีแนวโน้มเป็นบวกและมีโอกาสไต่ระดับขึ้นต่อทดสอบกรอบ 1,280- 1,300 จุดเพื่อทะลุผ่านอีกครั้ง ซึ่งยังคงมุมมองว่าหุ้น Consumer Staple ที่ยัง Laggard ตลาดและกระทบจากภาษีรวมถมีการเมืองจำกัด มีแนวโน้มปรับตัวได้แข็งกว่าดัชนี
นอกจากนี้มุมมองจากบริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ประเด็น “Macro & Mr. Market” ว่าหากมองย้อนสถิติตลาดย้อนหลังบางครั้งก็น่าสนใจ โดยแบ่งตามขนาดตลาด พบว่า SET และ SET50 ปรับตัวลดลงเท่ากันที่ -9.5% นับตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ SETHD ลดลงเพียง -1.3% ส่วนการแบ่งตามอุตสาหกรรมกลุ่มวัสดุก่อสร้าง (CONMAT) ปรับตัวเพิ่มขึ้น +4.5% นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันและกลุ่มธนาคาร (BANK) เพิ่มขึ้น 6.3% นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน
โดยปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดที่ส่งผลต่อตลาด คือ 1.) การประชุม Jackson Hole ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 22-24 สิงหาคมนี้ (ตามเวลาท้องถิ่น) โดยสำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า การประชุม Jackson Hole นี้บงบอกถึงทิศทาง Fed จะเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไป หลังจากตลาดแรงงานอ่อนแอลงและอัตราเงินเฟ้อถอยกลับสู่เป้าหมายของ Fed ที่ประมาณ 2%
2.) ตัวเลขยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ หรือ US Retail sales ตลาดคาดเติบโต 0.60% เมื่อเทียบระหว่างเดือน และ 3.) รายงานตัวเลขเศรษฐกิจไทย GDP ไตรมาส 2/2568 โดยตลาดคาดว่าจะเติบโต 2.50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและ 0.40% จากไตรมาสก่อนหน้า
ทั้งนี้ ฝ่ายนักวิเคราะห์แนะนำกลยุทธ์การลงทุน เน้นเลือกหุ้นที่ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2568 แข็งแกร่ง แม้เผชิญปัจจัยกดดันหลายด้าน เช่น ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ที่มีกำไรสุทธิ 11,100 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2568 สินเชื่อขยายตัว 4.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน และ 0.4% จากไตรมาสก่อน อัตราหนี้เสีย (NPL) ลดลงเล็กน้อยจาก 3.57% ในไตรมาส 1/2568 เหลือ 3.54% ในไตรมาส 2/2568 ขณะที่ยอด NPL ทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 25 บาท
บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP มีกำไรสุทธิ 13,515 ล้านบาทในไตรมาส 2/2568 สอดคล้องกับประมาณการของ Bloomberg Consensus พร้อมประกาศเข้าร่วมลงทุนในแปลง A-18 ประเทศมาเลเซีย ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ราว 2.4 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นทุก 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จะส่งผลให้กำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2568 เพิ่มขึ้นราว 1.3% แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 128 บาท บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF มีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2568 เติบโตก้าวกระโดด ที่ 63,871 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 1,000% จากปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากธุรกิจหลักที่เติบโต การรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก ADVANC เป็นไตรมาสแรก รวมถึงกำไรพิเศษจากการรวมธุรกิจ (one-off) ทำให้ฝ่ายวิเคราะห์ปรับเพิ่มประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ของปี 2568 ขึ้นตามไปด้วย แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายตาม ที่ 64.50 บาท บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MOSHI รายงานกำไรสุทธิ 134 ล้านบาทในไตรมาส 2/2568 เติบโต 65% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 14% จากไตรมาสก่อนหน้า สูงกว่าประมาณการของเรา 5% และสูงกว่า Bloomberg consensus 11% ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าการขยายสาขาเชิงรุก การปรับปรุงส่วนผสมการขาย และการใช้ประโยชน์จาก operating leverage จะช่วยให้ MOSHI ยังคงมีกำไรสุทธิเติบโตแข็งแกร่งในไตรมาส 3/2568 แนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 47.75 บาท