‘ไทยต้องต่อเรือฟริเกตในประเทศ’ โอกาสสำคัญพลิกฟื้นอุตสาหกรรมต่อเรือ
เมื่อสัปดาห์ก่อน คณะอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ ICT และทุนหมุนเวียน ในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจำปี สภาผู้แทนราษฎร ได้อนุมัติงบประมาณให้กองทัพเรือจัดหาเรือฟริเกต มูลค่า 1.75 หมื่นล้านบาทตามคำขอของกองทัพเรือ ซึ่งในขณะเดียวกัน กองทัพเรือก็ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเดิมให้อนุมัติหลักการให้กองทัพเรือจัดหาเรือฟริเกตรวมจำนวน 2 ลำ มูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาท แต่ให้ได้รับงบประมาณก่อนเพียง 1 ลำ
แม้ว่าการดำเนินการนี้จะยังไม่รับประกัน 100% ว่ากองทัพเรือจะได้รับงบประมาณต่อเรือฟริเกต 2 ลำ แต่อย่างน้อยก็ถือว่ารัฐมีพันธผูกพันมากขึ้นที่จะจัดหางบประมาณมาต่อเรือฟริเกตให้ได้ 2 ลำ
สาเหตุที่ควรจะมีการต่อเรือฟริเกต 2 ลำ ก็เพราะโครงการนี้กองทัพเรือต้องการต่อเรือฟริเกตในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการต่อเรือในประเทศที่ซบเซามานาน ซึ่งทำให้ขีดความสามารถในการต่อเรือของไทยมีจำกัด การต่อเรือฟริเกต 2 ลำจะทำให้ภาคเอกชนมีความมั่นใจว่า การลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้มีการต่อเรือในประเทศให้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น
และยิ่งกองทัพเรือกำลังมีวิกฤตการขาดแคลนเรือฟริเกตอย่างหนัก เพราะมีเรือฟริเกตเพียง 3 – 4 ลำจากจำนวนความต้องการขั้นต่ำสุด 8 ลำ ทำให้การลงทุนเพื่อสร้างขีดความสามารถในการต่อเรือมีความจำเป็นมาก เพราะเรือฟริเกตมีความสำคัญในการป้องกันประเทศ แม้ว่าจะไม่สามารถทดแทนเรือดำน้ำได้ทั้งหมดก็ตาม
ใจความสำคัญของโครงการนี้คือการใช้งบประมาณทางทหารเพื่อต่อเรือในประเทศ ซึ่งหมายถึงการใช้งบประมาณที่ปกติจะเสียให้กับต่างประเทศ 100% ให้มีบางส่วนย้อนกลับมาสู่อุตสาหกรรมในประเทศ และหมายถึงการทำให้งบประมาณทางทหารเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกต้องและเป็นแนวทางที่ประเทศส่วนใหญ่มักจะเลือกดำเนินการ เนื่องจากประเทศที่มีการวางแผนการป้องกันประเทศอย่างเป็นระบบ จะรวมขีดความสามารถของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของขีดความสามารถในการป้องกันประเทศของกองทัพด้วย ซึ่งการจะทำอย่างนั้นได้ การพยุงให้อุตสาหกรรมป้องกันประเทศอยู่รอดได้ในระยะยาวจึงเป็นสิ่งจำเป็น
อย่างไรก็ตาม กองทัพเรือต้องทำให้มั่นใจว่า การต่อเรือจะดำเนินการในประเทศจริง และต้องต่อเรือในประเทศตั้งแต่ลำแรก เพราะที่ผ่านมามีกระแสข่าวว่าบางฝ่ายต้องการผลักดันให้การต่อเรือลำแรกเป็นการต่อเรือในต่างประเทศก่อนด้วยข้ออ้างว่าเพื่อเรียนรู้เทคโนโลยีการต่อเรือ ก่อนที่จะต่อเรือลำที่ 2 ในประเทศ
ซึ่งการดำเนินการแบบนี้ นอกจากจะไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของโครงการที่ไปยื่นของบประมาณกับสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ยังเป็นการทำให้อุตสาหกรรมการต่อเรือในประเทศเสียโอกาส และที่สำคัญก็คือ กองทัพเรือเคยดำเนินการแบบนี้แล้วเมื่อครั้งกองทัพเรือสั่งต่อเรือหลวงภูมิพลจากประเทศเกาหลีใต้ และบอกว่าลำที่สองจะดำเนินการต่อในประเทศ แต่ต่อมากองทัพเรือกลับไม่ดำเนินการต่อลำที่สองและเปลี่ยนไปจัดหาเรือดำน้ำจากต่างประเทศแทน ทำให้อุตสาหกรรมการต่อเรือในประเทศไม่มีโอกาสได้รับงานและซบเซาลงเป็นอย่างมากหลังจากนั้น
แต่ทั้งนี้ สิ่งนี้ก็แสดงว่า กองทัพเรือเคยเรียนรู้และได้รับเทคโนโลยีการต่อเรือจากต่างประเทศมาแล้ว ดังนั้นในครั้งนี้ก็ไม่ควรต้องมาเรียนรู้กันใหม่อีก เพราะแม้เทคโนโลยีระบบอาวุธหรือเซนเซอร์ข้างในเรือจะเปลี่ยนไป แต่เทคโนโลยีการต่อเรือก็เปลี่ยนไปไม่มาก ถ้ากองทัพเรือไปเรียนรู้มาได้จริงและสามารถจัดการองค์ความรู้ได้มีประสิทธิภาพ ก็ไม่ควรจะต้องเรียนรู้อะไรต่ออีกแล้ว
และสุดท้าย การต่อเรือในประเทศ กองทัพเรือก็มักจะมีการจัดจ้างที่ปรึกษาและผู้ควบคุมงานจากอู่ต่อเรือต่างประเทศมาควบคุมและถ่ายทอดความรู้ในการต่อเรืออยู่ดี รวมถึงก็ยังมีอู่ต่อเรืออีกหลายอู่ที่ยื่นข้อเสนอว่าสามารถต่อเรือฟริเกตในประเทศไทยได้ตั้งแต่ลำแรกเลย ไม่ต้องไปเรียนรู้อะไรในต่างประเทศก่อน ดังนั้นข้ออ้างในการต้องไปต่อเรือลำแรกที่ต่างประเทศก่อนจึงฟังไม่ค่อยขึ้น
เรือฟริเกตมีความจำเป็นสำหรับกองทัพเรือไทย อันนี้เชื่อว่าคงไม่มีใครเถียง แต่การตอบสนองความจำเป็นนั้นต้องมาด้วยการวางแผนโครงการที่เกิดประโยชน์ต่อประเทศและเศรษฐกิจไทยให้ได้จริง ซึ่งถ้าบริหารงานได้ดี โครงการนี้จะเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนที่จะสามารถกู้วิกฤตของอุตสาหกรรมการต่อเรือของไทยได้ ดังนั้นกองทัพเรือต้องสร้างความมั่นใจให้รัฐบาลและประชาชนผู้เสียภาษีว่า การต่อเรือฟริเกตจะเกิดขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่ลำแรก เพื่อให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการใช้เงินภาษี 1.75 หมื่นล้านบาทอย่างแท้จริง