วิกฤตไทย-กัมพูชา กระทบความเชื่อมั่นนักธุรกิจ ไทย-ต่างชาติ
นางสาวพราวนรินทร์ เรืองฤทธิเดช กรรมการบริหารแบรนด์ชาตรามือ ทายาทรุ่นที่ 3 กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบเพราะตลาดกัมพูชาเป็นตลาดหลักในอาเซียน โดยรวมบริษัทยังเดินหน้าได้ แต่ถ้าเกิดเลวร้าย เกิดการปิดด่านคงได้รับผลกระทบมาก แต่ก็ได้เตรียมแผนรับมือคือ สาขาใหม่ในต่างประเทศอื่นๆ
โดยปีนี้จะไปที่สปป.ลาว เวียดนาม เม็กซิโก และมาเลเซีย ซึ่งจะช่วยกระจายความเสี่ยงและสร้างการเติบโตในตลาดต่างประเทศได้ สิ้นปีนี้ร้านชาตรามือมีประจำ 14 ประเทศทั่วโลก พร้อมกับจำนวนสาขา 130 แห่ง
“เห็นได้ชัดว่าการขยายตลาดไปทั่วโลกกลายเป็นเป้าหมายหลักสำหรับชาตรามือตอนนี้ ไม่ได้หมายความว่าตลาดในประเทศอิ่มตัวแล้ว เพราะจริงๆ แล้วร้านชาตรามือยังไปไม่ถึงทุกจังหวัด ยังขาดอีกหลายสิบจังหวัด ทั้งในเมืองหลักและเมืองรอง ที่ในประเทศเองก็ยังมีพื้นที่ให้ขยายได้อีกมาก
ส่วนการเติบโตที่ต้องการไปให้ถึงเป้าหมายก็จำเป็นต้องขยายไปตลาดต่างประเทศควบคู่ไปด้วย ถึงแม้ยอดขายในประเทศตอนนี้อาจจะไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็ยังโตได้ต่อเนื่อง เพราะเป็นสิ่งที่คนยังนิยมทานอยู่ ชาตรามือก็ยังมีจุดเด่นในเรื่องของราคาที่ไม่แพงเกินไป ทำให้เข้าถึงได้ทั้งกลุ่มคนกลางและกลุ่มคนที่มีรายได้สูงขึ้นไป ในอีก 2 ปีข้างหน้า( ปี 2570)ชาตรามือตั้งเป้ารายได้ถึง 5,000 ล้านบาท”
ด้านนายรวิศ หาญอุตสาหะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด กล่าวว่า แม้ว่าจะมีสัญญาณบวกจากตลาดสินค้าความงามและธุรกิจโดยรวม แต่ก็ยังคงมีความท้าทายสำคัญที่ต้องระวัง โดยเฉพาะในเรื่องของ “สงครามการค้า” และ “ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลก” ที่อาจเกิดขึ้นทุกเมื่อและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก
รวมถึงประเทศไทย การขนส่งและต้นทุนค่าระวางเรือที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ต้องจับตามอง ก่อนหน้านี้ค่าระวางเรือเคยพุ่งสูงถึง 2,000 ดอลลาร์ (70,000 บาท) จากเดิม 400 ดอลลาร์ (14,000 บาท)
ส่วนแนธุรกิจโดยในปี 2568 พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าดูแลผิวพรรณ หรือสกินแคร์ ได้รับความสนใจมากขึ้น เช่น มอยส์เจอร์ไรเซอร์บางตัวที่เติบโตสูงถึง 128% ซึ่งบ่งชี้ถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งในกลุ่มสินค้าสกินแคร์
อีกทั้งบริษัทกำลังให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเครื่องสำอาง เช่น แป้ง รองพื้น คุชชั่น และเมกอัพ รวมถึงสินค้ากันแดด ส่วนแบรนด์ “มัลตี้” อยากให้สร้างแบรด์ให้เป็นที่รู้จักและครองใจผู้บริโภคในตลาดสินค้าความงามเกาหลี
รวมถึงการขยายช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ให้เติบโต โดยบริษัทยังมีแผนเปิดร้าน “มัลตี้” เพิ่ม 2-3 สาขาในปีนี้ จากที่ได้เปิดไปแล้ว 5 สาขาในปี 2567 และมีเป้าหมายดันรายได้แตะ 1,000 ล้านบาทในอนาคต
ขณะที่ นายสุภัค หมื่นนิกร ประธานกรรมการและผู้ก่อตั้ง Food Franchise Institute (FFI) และ CEO ของSiam Steak Groupกล่าวว่า ว่าสถานการณ์ไทยกับกัมพูชา ในแง่ของต่างชาติที่จะมาลงทุนในประเทศไทย เขาก็ไม่เชื่อมั่นว่าจะลงทุน ช่วงนี้มันเป็นสถานการณ์ที่เฝ้าระวังเรื่องของสงครามโลกส่วนความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชามันก็ดีมาตลอด 20 ปี แต่พอเกิดสถานการณ์นี้มันทำให้ต่างประเทศเริ่มจับตามอง
ตอนนี้เรากำลังเผชิญกับความท้าทายทั้งจากภายในและภายนอก ซึ่งมันทำให้เกิดคำถามในใจของนักลงทุนเกี่ยวกับการลงทุนในไทยว่า หากมาลงทุนที่ไทยจะเจอกับอะไรบ้าง ถ้าเราให้ความสำคัญกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เราจะเห็นว่า ความเชื่อมั่นจากต่างชาติในประเทศไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ครึ่งปีหลังมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกไม่สามารถคาดการณ์ได้แน่นอน เพราะทุกอย่างยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและอิสราเอลที่อาจส่งผลต่อความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลก รวมถึงการประกาศของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีผลกระทบต่อประเทศต่างๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้