“ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์” 3 องค์ประกอบหน้าบันวัด-วังไทย มาจากไหน?
“ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์” ของ “หน้าบัน” ในสถาปัตยกรรมกลุ่มวัด-วังไทยคืออะไร มาจากไหน ทำไมศักดิ์สิทธิ์จนคนโบราณห้ามใช้กับอาคารสามัญชน ?
ไมเคิล ไรท์ เล่าถึงประเด็นนี้ไว้ในบทความ “ช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์มาจากไหน ?”ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤษภาคม 2535 โดยชี้ว่า “หน้าบัน” ไทย เป็นพี่-น้อง (Analageous to) หรือสืบทอดมาจาก “โคปุรัม” ในอินเดียใต้
ข้อสรุปดังกล่าวสร้างความฉงนงงงวยให้คนทั่วไปที่มองไปยังโคปุรัม แล้วย้อนกลับมาดูหน้าบันไทยอีกรอบ เพราะคำถามแรกที่นึกได้คงเป็น “คล้ายกันตรงไหน?”
ไรท์ได้แจกแจงให้เห็นความเชื่อมโยงอย่างมีนัยสำคัญขององค์ประกอบประจำสถาปัตยกรรมแบบจารีตของทั้ง 2 ดินแดนว่าเกี่ยวโยงกันจริง ๆ ไม่ใช่การจับแพะชนแกะ
ข้อสังเกตสำคัญอยู่ที่ยอดโคปุรัมของอินเดียซึ่งเรียกว่า หลังคาถังไม้ (Barrel Vault) หรือที่ไรท์เรียก “ท้องเรือคว่ำ”หากสังเกตดี ๆ จะมีเกียรติมุข (หน้ากาล) อยู่บนยอด มีหางเป็นมกร ตรงนี้เองที่เทียบได้กับ “ช่อฟ้า” กับ “หางหงส์” ของหน้าบันไทย
ไรท์อธิบายว่า สันหลังคาท้องเรือคว่ำของโคปุรัมจะมี “งอน” เหมือนช่อฟ้า และเป็นที่แขวนเกียรติมุข ซึ่งอินเดียพัฒนาบทบาทของเกียรติมุขให้ใหญ่เป็นพิเศษ แต่ลดบทบาทของงอนให้เตี้ยป้อมจนสังเกตแทบไม่เห็น ขณะที่ช่างสยามทำสิ่งตรงข้าม คือพัฒนาให้งอนสูงชะลูดจนกลายเป็นช่อฟ้า ส่วนเกียรติมุขลดบทบาทลงจนเป็นแค่ “อก” ของช่อฟ้า
“เกียรติมุขของอินเดียสับสนจนไม่มีใครรู้ว่าเป็นหัวใครหรือหัวอะไร เพราะนอกจากจะเป็นหัวราชสีห์ (สัญลักษณ์ของพระอาทิตย์) มันยังเป็นหัวตัวบูชายัญที่ถูกเปลี่ยนจากคน (ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์) มาเป็นสัตว์อื่น ๆ ในภายหลัง แต่ยังศักดิ์สิทธิ์มากจนทุกวันนี้”
ความศักดิ์สิทธิ์ข้างต้นส่งทอดมายังหน้าบันไทย แม้เกียรติมุขจะถูกซ่อนเร้น แต่โดยจารีตจะอนุญาตให้มีหน้าบันเฉพาะในวัดหรือวังเท่านั้น
ก่อนจะไปดูหางหงส์ แวะมาดูใบระกากันก่อน เพราะค่อนข้างตรงไปตรงมา คือมีเหมือนกันทั้งไทยและอินเดีย ส่วนจะสื่อถึงสายรุ้ง สายฝน หรือพญานาค ก็ไม่ขัดแย้งอะไร ล้วนข้องเกี่ยวกัน
ความหมายคือ “เจ้าพ่อฟ้า” สมสู่ “เจ้าแม่ดิน” ด้วยสายฝน (เกิดรุ้งกินน้ำ) ทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ และนาคก็เป็นส่วนหนึ่งของนาฏกรรมทางธรรมชาตินี้ด้วย เพราะนอกจากจะเป็นเจ้าบาดาลแล้ว คนโบราณยังเชื่อว่าฟ้าแลบคือการเต้นรำบนฟ้าของพญานาค
คติทั้งหมดมีร่วมกันทั้งในไทยและอินเดีย จึงไม่เป็นปัญหาใด ๆ
สุดท้ายคือหางหงส์ ซึ่งดูผิวเผินน่าจะพัฒนามาจาก “หัวนาค” ที่หันหน้าออกในหน้าบันปราสาทขอม แต่จะเป็นหัวนาคหรือไม่ก็ตาม ประเด็นอยู่ที่ทำไมช่างสยามเรียกมันว่า “หางหงส์”
ไรท์ยืนยันว่า หางหงส์ของไทยเกี่ยวกับหางมกรของอินเดียใต้แน่ เพราะตามปรัมปราแล้วมกรคือสัตว์ผสม งวงเหมือนช้าง ปากและตาของจระเข้ ขาอย่างราชสีห์ และ หางอย่างหงส์
“ดังนั้นแม้ ‘หางหงส์’ ของไทยอาจจะพัฒนามาจากหัวนาคเขมรก็จริง แต่ในสายตาสถาปนิกไทยมันยังเป็น ‘หางหงส์’ ตรงกับหางหงส์ของมกรในศิลปะอินเดียใต้”
ไมเคิล ไรท์ จึงสรุปว่า หน้าบันวัดและวังของไทย อันประกอบด้วย ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ สัมพันธ์ใกล้ชิดกับหน้าบันหลังคาท้องเรือคว่ำของโคปุรัมในอินเดียใต้ ในส่วนวิวัฒนาการของสิ่งเหล่านี้จากอินเดียใต้สู่อุษาคเนย์ ขอให้ติดตามอ่านในโอกาสต่อไป
อ่านเพิ่มเติม :
- ความสับสน ในงานสถาปัตยกรรมไทย
- เหตุใดสถาปัตยกรรมไทยจึงมีการ “ย่อมุม”
- สมเด็จครูและพระพรหมพิจิตร การปะทะผลงานระหว่างศิษย์กับครู ในวงการสถาปัตยกรรมไทย
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 4 กรกฎาคม 2568
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : “ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์” 3 องค์ประกอบหน้าบันวัด-วังไทย มาจากไหน?
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com