‘แบงก์ชาติ’ อัปเลเวลสกัดมิจฉาชีพ สั่งคุมเข้มโอนเงินไม่เกิน5หมื่นต่อวัน
'แบงก์ชาติ' อัปเลเวลสกัดมิจฉาชีพ สั่งธนาคารเข้มคุมโอนเงิน-ชำระเงิน ไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน พร้อมแจงแนวโน้มความเสียหายจากการถูกหลอกโอนเงินยังสูง
19 ส.ค. 2568 - นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ได้ประกาศมาตรฐานและมาตรการเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสำหรับสถาบันการเงิน ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 ส.ค. 2568 โดยยึด 5 หลักการสำคัญ ได้แก่ 1. แก้ไขปัญหาได้ตรงจุด 2. มีวิธีปฏิบัติที่ชัดเจน 3. สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย 4. ไม่ด้อยกว่ามาตรฐานในต่างประเทศ และ 5. สร้างความตื่นตัว (awareness) ให้แก่ประชาชน
ทั้งนี้ แนวโน้มการถูกทุจริตการเงิน พบว่า ความเสียหายจากการถูกหลอกโอนเงินยังอยู่ระดับสูง โดยยังไม่ได้ลดลงหากเทียบกับอดีต โดยเฉพาะการถูกหลอกให้โอนเงินให้มิจฉาชีพเอง ที่พบว่าความเสียหาย ในไตรมาสที่ 2/2568 ยังอยู่ระดับสูงที่ 6,000 ล้านบาท เฉลี่ย 2,000 ล้านต่อเดือน ลดลงจากไตรมาส 2/2567 มีมูลค่าความเสียหาย 8,590 ล้านบาท
ขณะที่ในเดือน ก.ค. 2568 สามารถระงับบัญชีได้ 3 ล้านบัญชี คิดเป็นรายชื่อบัญชีม้า 1.77 แสนรายชื่อและหากดูข้อมูลความเสียหายจากการหลอกลวงในเดือน มิ.ย. 2568 มีจำนวนความเสียหาย 24,500 เคส ความเสียหายรวม 2,800 ล้านบาท เฉลี่ย 114,000 บาทต่อเคส โดยยอดโอนสูงสุดอยู่ที่ 4.9 ล้านบาท และหากดูธุรกรรมที่เหยือโอนเข้าบัญชีม้า มูลค่าสูงกว่า 50,000 บาท ซึ่งทำการดอนเงินภายใน 3 นาที ประมาณ 50% ของมูลค่าความเสียหาย โดยที่เหยื่อจะแจ้งข้อมูลเข้าระบบภายใน 19-25 ชั่วโมง
ทั้งนี้ หากแยกตามกลุ่มอายุ จะพบว่า ความเสียหายจะสูงขึ้นตามอายุ ซึ่งจากข้อมูลสถิติย้อนหลัง 3 ปี 3 เดือน พบว่า เฉลี่ยคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีมูลค่าความเสียหายเฉลี่ย 400,000 บาท และอายุน้อยกว่า 15 ปี แม้ว่าจำนวนเคสไม่เยอะ แต่จำนวนวงเงินค่อนข้างเยอะ ส่วนหนึ่งมาจากการผูกบัญชีกับครอบครัว
“รูปแบบและพฤติกรรมของมิจฉาชีพที่เปลี่ยนไปต่อเนื่อง ทำให้ความเสียหายจากภัยทุจริตทางการเงินแม้มีแนวโน้มลดลง แต่ยังอยู่ในระดับสูง ในครั้งนี้ ธปท. จึงร่วมมือกับสมาคมธนาคารไทย ในการยกระดับมาตรการเชิงป้องกัน โดยกำหนดวงเงินการโอน และชำระเงินต่อวันผ่านช่องทางดิจิทัลของลูกค้าบุคคลธรรมดา ให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการทำธุรกรรมของลูกค้า” นางสาวดารณี กล่าว
นางอรมนต์ จันทพันธ์ ผู้อำนวยการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธปท. กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายหลัก คือ 1. จำกัดไม่ให้มิจฉาชีพสามารถโอนเงินออกจากบัญชีได้ครั้งละจำนวนมาก เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพถ่ายโอนเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดได้เร็ว ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสที่จะกักเงินของผู้เสียหายไว้ได้ทัน 2. จำกัดความเสียหายของประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก และผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของมิจฉาชีพ โดยธนาคารจะพิจารณากำหนดวงเงินการโอน และชำระเงินต่อวัน ให้เหมาะสมกับความเสี่ยงและพฤติกรรมการทำธุรกรรมในอดีตของลูกค้า โดยวงเงินเริ่มต้นอยู่ที่ไม่เกิน 50,000 บาท/วัน
“ธปท. ได้กำหนดให้ธนาคารต้องมีแนวทางลดผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ต่อลูกค้าด้วย เช่น มีกระบวนการรองรับกรณีลูกค้ามีความจำเป็นฉุกเฉินต้องโอนเงิน หรือชำระเงินสูงกว่าวงเงินต่อวันที่โอนได้ โดยให้ธนาคารดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวกับกลุ่มลูกค้าใหม่ที่เพิ่งเปิดใช้บริการ mobile banking หรือ internet banking ภายในสิ้นเดือน ส.ค. 2568 และกลุ่มลูกค้าปัจจุบันภายในสิ้นปี 2568” นางอรมนต์ กล่าว