คุกคามทางเพศด้วยวาจาอย่าบอกว่าแค่แซว ถกสว. ค้านกฎหมายใต้มุม ‘ผู้กระทำ’
คำว่า “คุกคามทางเพศ” กลายมาเป็นข้อถกเถียงในสังคมไทยอีกครั้ง หรืออย่างน้อยก็บนโลกออนไลน์ หลังสมาชิกวุฒิสภา เดชา นุตาลัย ลุกขึ้นอภิปรายคัดค้านการแก้ไขนิยามคำว่า “คุกคามทางเพศ” ในการอภิปรายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยความผิดฐานคุกคามทางเพศ
แก้ไขนิยาม คุกคามทางเพศ และรายละเอียดอื่น ๆ
ข้อเสนอเพิ่มนิยาม “คุกคามทางเพศ” ให้กว้างขึ้นเพื่อให้ร่างกฎหมายสามารถบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน ตามที่นายศุภชัย ใจสมุทร ประธานกมธ. กล่าวเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม เมื่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณารับร่างดังกล่าว
นิยามที่เพิ่มขึ้นมาครอบคลุมการกระทำในลักษณะที่กว้างขึ้นคือ “การกระทำโดยทางกาย วาจา การส่งเสียง การแสดงอากัปกิริยาหรือท่าทาง การติดต่อสื่อสาร การเฝ้าดู การติดตามรังควาน หรือกระทำด้วยประการใด ๆ รวมถึงผ่านระบบคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์โทรคมนาคม หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถแสดงผลให้เข้าใจความหมายได้ โดยถือว่าหากมีลักษณะส่อไปทางเพศในประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนรำคาญ อับอาย ถูกเหยียดหยาม หวาดกลัว หรือได้รับความไม่ปลอดภัยในทางเพศ ให้ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย”
นอกจากนี้ในการแก้ไขร่างประมวลกฎหมายอาญาฉบับเดียวกัน ยังมีการแก้ไขนิยามคำว่า กระทำชำเรา จากก่อนระบุไว้ว่า “การใช้อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศ ทวารหนัก ช่องปากของผู้อื่น” แก้ไขเป็น “การใช้อวัยวะอื่นๆของผู้กระทำ หรือวัตถุอื่นๆ เช่น นิ้วมือ ปากกา ล่วงล้ำอวัยวะเพศ ทวารหนักผู้อื่น” รวมถึงการกำหนดให้การคุกคามทางเพศเป็นความผิดทางอาญา และกำหนดโทษและการยอมความในกรณีต่าง ๆ เอาไว้เพิ่มเติม
สว.ค้าน ที่ว่ามา..ก็ธรรมดามนุษย์
อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุมวุฒิสภาเมื่อวานนี้ (18 สิงหาคม 2568) สว. เดชาลุกขึ้นคัดค้านบางคำในนิยามฉบับใหม่ดังนี้:
- ชี้ว่า “ด้วยประการใด ๆ เป็นการกำหนดคำที่กว้างเกินไป”
- ชี้ว่า การส่งเสียง อย่างการแซวจีบเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิต
- ชี้ว่า การเฝ้าดู เป็นเรื่องปกติการการชอบพอกัน และหลายครั้งจบลงด้วยดี
- ชี้ว่าหากขยายนิยามการคุกคามทางเพศเป็นเนื้อหาใหม่ดังกล่าว นักร้อง นักดนตรี อาจได้รับผลกระทบเพราะเนื้อหาจะถูกตีความว่าคุกคามทางเพศ
นอกจากนี้สว. เดชายังตั้งคำถามว่า ผู้ร่างกฎหมายมีปมอะไรในใจหรือไม่ และกล่าวกับท่านประธานการประชุมว่า ท่านน่าจะเข้าใจ เพราะเคยเป็นคนหนุ่มมาก่อน ทั้งยังทิ้งข้อกังวลไว้ว่า คำนิยาม “น่าจะ…” จะเป็นเพียงการ “มโน” ไม่ใช่การกระทำจริง
เพื่อสนับสนุนคำค้านของเขา สว. เดชายกสุภาษิต คำกล่าว และเนื้อเพลงขึ้นมาในที่ประชุม อาทิ “ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก” “น้ำหยดลงหิน หินยังกร่อน” “บ้านน้องอยู่ฝั่งทางโน้น บ้านพี่อยู่ฝั่งทางนี้ หัวสะพานตรงกัน อาบน้ำกันเห็นกันทุกที” “มองเธอสาวเธอสวยฉันจึงได้มอง หากเธอไม่สวยฉันจะไม่มอง หากเธอไม่แจ่มฉันจะไม่จ้อง” เพื่อสนับสนุนว่าพฤติกรรมเหล่านี้ปรากฎอยู่แล้วในสังคมไทย
แต่การที่พฤติกรรมบางประการปรากฎอยู่ในสังคมแล้ว ตีความได้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งดีเสมอไปหรือ
Spotlight ได้มีโอกาสพูดคุยกับ อาจารย์ ดร. ชเนตตี ทินนาม อาจารย์ประจำภาควิชาการสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านเพศสภาวะและเพศวิถี และผู้มีบทบาทในการขับเคลื่อนนโยบายการป้องกันการคุกคามทางเพศในองค์กรสื่อ
สว. ค้านจากมุมมองผู้กระทำ
“อาจารย์คิดว่า การค้านนิยามการคุกคามทางเพศของ สว. ท่านนี้ ไม่ได้เป็นการค้านที่มาจากที่มาจากจุดยืนของผู้เสียหาย แต่มันเป็นการค้านจากจุดยืนของผู้กระทำ ที่ไม่ได้เข้าใจความรู้สึกและผลกระทบที่ผู้เสียหายต้องเผชิญ” อาจารย์ชเนตตีกล่าว
อาจารย์เสริมว่า การที่เรามองพฤติกรรมแซว ตื๊อ เฝ้ามอง เป็นเรื่องปกติ แสดงทัศนคติของสังคมว่า ผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายรับสภาพเสมอไป และสะท้อนการมองโลกแบบเก่าที่มองว่า การคุกคามทางเพศสร้างความเสียหายทางกายเท่านั้น
คุกคามทางเพศไม่จำเป็นต้องโดนตัว
“…มันยังอยู่ในกรอบของโลกทัศน์เดิมๆ ว่า ความรุนแรงทางเพศ การคุกคามทางเพศต้องเกิดขึ้นกับร่างกาย อย่างชัดเจน มีการบาดเจ็บ มีการล่วงละเมิดทางเพศ มีการข่มขืน มีการถึงเนื้อถึงตัวเท่านั้น เขาละเลยที่จะมองผลกระทบที่มันส่งผลรุนแรง ยาวนาน ร้าวลึกมากกว่านั้นก็คือ การส่งผลต่อสภาพจิตใจ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้เสียหายเนี่ยไปตลอดชั่วชีวิต”
เมื่อปี 2567 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ทำการสำรวจการคุกคามทางเพศในที่ทำงานกับกลุ่มตัวอย่างอายุ 20 ปีขึ้นไป 2,000 คน ผลการสำรวจรายงานว่า 6.3% เคยถูกคุกคามทางเพศในที่ทำงาน ในกลุ่มเหยื่อการถูกคุกคาม กว่า 86.21% รายงานว่าถูกคุกคามด้วยสายตา เป็นการคุกคามที่พบได้มากที่สุด และกว่า 50% ถูกคุกคามทางเพศด้วยวาจา และกว่า 2.88% ถูกพูดชักชวนให้มีเพศสัมพันธ์ด้วย
จะเห็นได้ว่า ไม่ใช่แค่การแตะเนื้อต้องตัวเท่านั้นที่เป็นการคุกคาม แต่พฤติกรรมอย่างอื่นที่ส่อไปในทางเพศ ก็สร้างความรู้สึกไม่ปลอดภัยให้ผู้ถูกกระทำได้เช่นกัน แล้วขอบเขตการคุกคามทางเพศนั้นอยู่ตรงไหน
ขอบเขตแค่ไหน กว้างแล้วใครรู้ (ผู้ถูกกระทำรู้)
ตามนิยามของสหประชาชาติ การคุกคามทางเพศหมายถึง “การกระทำอันไม่เป็นที่ต้องการ” (unwelcomed behavior) ซึ่งจะนับว่าไม่ต้องการหรือไม่นั้น ขึ้นกับ “เมื่อใดก็ตามที่ผู้ถูกกระทำพิจราณาว่าพฤติกรรมนั้นไม่เป็นที่ต้องการ” (whenever the person subjected to it considers it unwelcome) ซึ่งสหประชาชาติยกตัวอย่างหลายรายการ รายการที่ไม่เกี่ยวกับการสัมผัสทางกาย อาทิ การแซว การให้ความเห็นทางเพศ การคุยเรื่องเพศในที่ทำงาน การส่งเสียงจูบ การจ้องมอง การเลียปากตนเอง การขยิบตา หรืออื่น ๆ
ใช่ว่าการกระทำในรายการของสหประชาชาติถือเป็นการคุกคามทางเพศเสมอไป เพราะหากผู้โต้แย้งทึกทักยกตัวอย่างเอาชนะ อย่าง “การเลียปากหลังทานอาหารนับว่าคุกคามทางเพศด้วยไหม” หรือ “เธอนำเสนองาน ฉันก็ห้ามจ้องด้วยหรือ” ก็คงเป็นตรรกะที่ไม่สมเหตุสมผล เพราะได้กล่าวไว้ชัดเจนแล้วว่าขอบเขตคือ “เมื่อผู้ถูกกระทำรู้สึกไม่สบายใจ”
อาจารย์ชเนตตีเน้นอีกทางว่า การให้นิยามอย่างกว้าง และถือเอา “ความรู้สึกของผู้ถูกกระทำ” นั้นเป็นหลักปฏิบัติสากล ที่ประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านมุมมองเรื่องเพศพึงมี
“การคุกคามทางเพศจะต้องจัดให้เป็นนิยามอย่างกว้าง ส่วนขอบเขตจะกว้างขวางขนาดไหน ขึ้นอยู่กับว่า การกระทำเหล่านั้นสร้างความรู้สึกไม่ปลอดภัยที่เชื่อมโยงกับความรู้สึกในทางเพศของผู้ถูกกระหรือไม่ หากใช่ก็จะเป็นการคุกคามทางเพศโดยทันที”
จีบกันนั้นได้ แต่ต้องคอยเช็กความรู้สึก
หากชอบกันควรทำอย่างไร? แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกกรณีที่เป้าหมายการแซว การตื๊อ จะรู้สึกไม่สบายใจ หลายครั้งฝ่ายถูกจีบก็อาจรู้สึกพึงพอใจตามที่สว.เดชาว่า แต่ข้อสำคัญก็คือ ฝ่ายถูกจีบรู้สึกอย่างไรไม่ใช่หน้าที่ที่คนจีบจะตัดสินใจ แต่ควรถามเพื่อสร้างการสื่อสารที่เท่าเทียม
“หากมีการถามไถ่ มีการสื่อสารและรับฟังกันว่า เธอรู้สึกยังไง เธอโอเคมั้ย อะไรแบบนี้ มันจะนำไปสู่การสร้างความสัมพันธ์ที่เท่าเทียม ผู้หญิงสามารถที่จะบอกความต้องการของเค้าได้อย่างตรงไปตรงมา แล้วสุดท้ายแล้วมันก็จะนำไปสู่การพัฒนาความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมอะ แล้วมีความยั่งยืนกว่า”
“ก็มีมานาน” เป็นธรรมชาติหรืออำนาจนิยม
การแซว หรือการตื๊อ แม้ทำไปด้วยลักษณะของการชอบพอตามที่สว. เดชากล่าวนั้น แม้ทำกันมาอย่างยาวนานจนปรากฎในกลอน วลี และบทเพลงมากมาย ก็ไม่ได้แปลว่าเป็นธรรมชาติ แต่คือสิ่งที่ระบบอำนาจนิยมทำให้เป็นปกติ
“เราปล่อยให้วัฒนธรรมเหล่านี้เป็นเรื่องปกติธรรมดา ให้ความชอบธรรมกับมัน ซึ่งเป็นมุมมองจากผู้กระทำไงคะ ผู้กระทำรู้สึกเอนจอยที่จะทำกิจกรรมเหล่านี้ มองว่าเป็นประเพณีการจับคู่ หาคู่ แต่ไม่เคยกลับไปตั้งคำถามว่า เป้าหมายของการจีบ การตามตื้ออะ การแซวเขารู้สึกยังไง […] เรากระทำมันไปตามวัฒนธรรมอำนาจนิยม ซึ่งเครื่องมือที่เผด็จการเนี่ย นะฮะ ทำให้มันเป็น ความปกติและเป็นความชอบธรรม”
อาจารย์ขยายความต่อว่า การตามตื๊อ ตามจีบ และการแซว เป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้อำนาจเหนือ หรือการที่คนกลุ่มหนึ่งมีอิทธิพลที่จะควบคุมหรือครอบงำอีกกลุ่มได้ ในที่นี้ เมื่อพิจราณาว่าเราอยู่ในโลกปิตาธิปไตย ผู้ที่อำนาจเหนือคือผู้ชาย และผู้มีอำนาจน้อยกว่าคือผู้หญิง (แน่นอนว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้อำนาจสลับขั้วได้ หรืออาจเกิดขึ้นได้กับผู้มีเพศหลากหลายเช่นกัน) หากการแซว การตื๊อ เป็นไปโดยไม่มีการอนุญาต ก็เท่ากับเป็นการบังคับให้อีกฝ่ายยอมรับพฤติกรรม
ในขณะที่ฝ่ายตามตื๊อ ตามแซว ไม่ว่าเพศอะไร อาจมองว่าเป็นการหาคู่รูปแบบหนึ่ง มองว่าเป็นสิ่ง “โรแมนติก” อีกฝ่ายอาจไม่ได้เป็นพ้องตรงกัน และหากเกิดขึ้นโดยฝ่ายถูกกระทำไม่ยินยอม อาจารย์ชเนตตีกล่าวว่า อาจเป็นการริดรอนเสรีภาพได้
“บางคนถูกคุกคาม ถูกตามตื้อ ถูกจ้องมองในพื้นที่ออนไลน์ ก็อาจจะขาดเสรีภาพในการใช้พื้นที่โซเชียลมีเดีย เพราะว่าอยู่ในความกลัว ถ้าเกิดขึ้นในโลกทางกายภาพ บางคนก็ไม่กล้าออกมาใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะ กลัวคนๆ นั้นจะสะกดรอยตาม จะตามตื้อ และนำไปสู่เหตุการณ์ที่มันรุนแรงขึ้น”
“การใช้อำนาจเหนือสุดท้ายแล้วจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเค้ากลายเป็น sex object [วัตถุทางเพศ] รู้สึกถูกลดคุณค่าจากการเป็นคู่สื่อสารที่ควรจะเท่าเทียม”
แต่เมื่อถือเอาความรู้สึกของใครคนหนึ่งเป็นหลัก แล้วนิยามที่กว้างขึ้นถูกใช้นำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวล่ะ?
กลัวถูกแบล็กเมล ป้องกันภัยหรือโทษเหยื่อไว้ก่อน
ประเด็นนี้ เป็นข้อที่สว. เดชา และอีกหลายคนบนโลกออนไลน์ให้ความกังวลกันอย่างมากมาย กลัวว่าผู้ที่บอกว่าตนถูกกระทำนั้นอาจจะ “มโน” ไปเอง หรือหาประโยชน์ แต่งเรื่องเอาความอีกฝ่ายได้ ในกรณีนี้อาจารย์ชเนตตีไม่ได้ปฏิเสธว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ชี้ว่าเป็นการมองความเป็นไปได้ส่วนน้อยมาก่อนการปกป้องคนส่วนใหญ่
“โดยหลักการเนี่ยเราต้องปกป้อง คนส่วนใหญ่ไว้ก่อน […] ข้ออ้างที่บอกว่ามันจะเอื้อทำให้บางคนมาแบล็กเมล์อะไรต่างๆ กำลังทำให้ผู้หญิงจำนวนมากถูกผลักออกจากการได้รับการป้องกันที่จะไม่ให้กลายเป็นเหยื่อ โดยการกล่าวโทษว่า ผู้หญิงเหล่าเนี้ยกำลังหาผลประโยชน์อะไรบางอย่าง”
นอกจากนี้ อาจารย์ชเนตตียังชี้ว่า การด่วนหาข้อสรุปว่า ผู้หญิง (หรือเหยื่อเพศใดก็ตาม) จะใช้นิยามแบบใหม่หาผลประโยชน์ สะท้อนวัฒนธรรมการโทษเหยื่อ อันเป็นสิ่งที่ทำให้เหยื่อจำนวนมากต้องรับความเสี่ยง
“สุดท้ายแล้ว ผู้หญิงมักจะโดนกล่าวโทษเสมอ เมื่อถูกคุกคามทางเพศ คือนอกจากเป็นผู้ถูกกระทำแล้วยังไม่พอ แต่สังคมก็จะตีตราแล้วก็โทษเหยื่อด้วย”
สำหรับมุมมองของอาจารย์ชเนตตีต่อนิยามทางเพศแบบใหม่ที่กว้างขึ้นนั้น อาจารย์มองว่าจะสร้างคุรภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้ผู้ถูกกระทำ ซึ่งโดยมากมักเป็นผู้หญิงได้ และจะสร้างสังคมที่เท่าเทียม พร้อมกันนั้นอาจารย์เน้นย้ำว่า ผู้ออกนโนบายควรมองผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งมีงานวิจัยจากองค์กรที่เกี่ยวข้องอยู่มาก อันผู้มีอำนาจออกกฎหมายควรศึกษา
“ผู้ที่มีอำนาจในการออกกฎหมายต่างๆ ก่อนที่จะปฏิเสธ หรือตีกลับนิยามของการคุกคามทางเพศแบบกว้าง ต้องทำการบ้านในเชิงข้อมูลก่อนว่า ผลกระทบของการใช้นิยามแบบเก่ากับแบบใหม่ที่มันกว้างและครอบคลุมมากขึ้น อันไหนจะช่วยทำให้ผู้หญิงมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อันนี้คือสิ่งที่ สว. ต้องทำงาน“