ชวนจับตาคดี ‘ฮั้วเลือก ส.ว. - ที่ดินเขากระโดง ที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของภูมิใจไทย
การเมืองไทยเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง หลังเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี สืบเนื่องจากปมคลิปเสียงที่เธอสนทนากับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งเนื้อหาส่วนหนึ่งของคำวินิจฉัยจากตุลาการศาล ระบุไว้ว่า “เป็นเหตุให้สาธารณชนขาดความเชื่อถือศรัทธา ต่อความเป็นนายกฯ ของประเทศไทย
ด้วยเหตุนี้การเมืองไทยต้องเข้าสู่สภาวะไม่แน่ไม่นอนอีกครั้ง เพราะสภาผู้แทนราษฎรจำเป็นต้องประชุมเพื่อลงมติเลือก ‘นายกฯ คนใหม่’ ระหว่างวันที่ 3-5 กันยายนนี้ โดยแคนดิเดตนายกฯ ที่เข้าเกณฑ์ในการถูกโหวตเลือก มีทั้งหมด 5 คนด้วยกัน แต่บุคคลที่ถูกจับตาว่าจะขึ้นแท่นเป็นผู้นำประเทศ คนที่ 32 มีเพียง 2 คนเท่านั้น ได้แก่ ชัยเกษม นิติสิริ จากพรรคเพื่อไทย และ อนุทิน ชาญวีรกุล จากพรรคภูมิใจไทย
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่การเมืองไทยจะผันเปลี่ยน The MATTER ขอชวนทุกคนย้อนดู ‘ตัวแปรสำคัญ’ ที่จะขัดขวางพรรคภูมิใจไทยในการขึ้นไปสู่อำนาจดังที่หวังเอาไว้ ตัวแปรที่ว่าก็คือ ‘คดีฮั้วการเลือก สว.’ และ ‘คดีที่ดินเขากระโดง’
คดีเหล่านี้มีที่ไปที่มาอย่างไร เราขอเล่าย้อนตั้งแต่จุดเริ่มต้น รวมถึงผลกระทบระยะยาวของมันต่อ ‘พรรคภูมิใจไทย’ และ ‘อนุทิน’ แคนดิเดตนายกฯ
คดีฮั้วเลือก สว. อาจนำไปสู่การยุบพรรคภูมิใจไทย
ขณะนี้คดีสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ราว 50-100 คน อยู่ในระหว่างกระบวนการสืบสวนข้อกล่าวหา ‘ขั้นที่ 1’ และหากผลคำตัดสินออกมาว่า สว.ที่ถูกตั้งข้อหามีความผิดจริง พวกเขาจะพ้นตำแหน่งและถูกดำเนินคดี ซึ่งคำถามที่ตามมาคงไม่พ้นว่าแล้วมันจะสร้างผลกระทบอย่างไรกับพรรคภูมิใจไทยบ้าง ก่อนที่จะไปถึงคำตอบ เราขอพูดถึงที่ไปที่มาของปมปัญหาดังกล่าวก่อน
‘การฮั้ว สว.’ เป็นประเด็นที่ภาคประชาชน อย่าง iLaw ตั้งข้อสังเกตตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วว่า การได้มาซึ่ง สว.เมื่อปี 2567 ที่เป็นระบบการแบ่งกลุ่ม การเลือกกันเองในกลุ่มอาชีพ และการเลือกไขว้ในหมู่ผู้สมัครระดับอำเภอไปจนถึงระดับประเทศ มีปัญหามากมาย
ตั้งแต่ความซับซ้อนของระบบ การขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนเพราะมีเพียงผู้สมัคร สว.เท่านั้นที่มีสิทธิเลือก ตลอดจนผลคะแนนในการเลือกตั้งกลุ่มผิดปกติ และยังมีความเชื่อมโยงกับอิทธิพลทางการเมืองในระดับจังหวัดอย่างชัดเจน ขณะที่การเลือกในระดับประเทศก็มีความผิดปกติเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น มี 8 จังหวัดที่มีผู้เข้ารอบเลือกไขว้เกือบทั้งจังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สตูล เลย อำนาจเจริญ ยโสธร สุรินทร์ โดยแต่ละจังหวัดต่างเป็นพื้นที่ของ สส.พรรคภูมิใจไทย แต่ความผิดปกติที่เด่นชัดที่สุด คือการพบการลงคะแนนที่เป็นแพทเทิร์นเดียวกัน เรียงหมายเลขเหมือนกันทั้งหมด
(Photo by Lillian SUWANRUMPHA / AFP)
ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้อำนวยการบริหาร iLaw กล่าวในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า
“ต้องยืนยันอีกครั้งว่าระบบการเลือก สว.ที่ใช้มาครั้งเดียวในปี 2567 นั้นเปิดให้เกิดการ ‘ฮั้ว’ กันได้ และออกแบบมาให้สมัคร ‘ตกลง’ นัดแนะการโหวตได้โดยถูกกฎหมาย เพราะจำนวนผู้มีสิทธิโหวตมีจำกัดแค่เพียงคนที่สมัคร ทุกคนโหวตตัวเองได้ โหวตคนอื่นได้ บางกลุ่ม กกต.จัดพื้นที่และเวลาให้ล้อมคุยกัน 3-4 คน ถ้าทุกคนสลับกันโหวตให้ดีก็กอดคอกันเข้ารอบหมดได้ง่ายๆ”
หลังการคัดเลือกจบลงและสภาสูงชุดนี้เข้าปฏิบัติหน้าที่ ก็เกิดข้อสังเกตขึ้นมาอีกว่า ทิศทางการโหวตของ สว.กลุ่มหนึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันหลายครั้ง ทำให้ สว.กลุ่มนี้ถูกเรียกว่า ‘สว.สีน้ำเงิน’ เพราะมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพรรคภูมิใจไทยหลายต่อหลายครั้ง
เช่น การลงมติเลือกประธานรองและประธานวุฒิสภา ก็เป็นไปตามที่สื่อและประชาชนคาดเอาไว้ คือ สว.สีน้ำเงินให้การสนับสนุน จนสามารถยึดเก้าอี้ตำแหน่งประธานครบทั้ง 3 ตำแหน่ง ด้วยคะแนนเสียงทะลุ 150 เสียง หรือคิดเป็น 75 เปอร์เซ็นต์ ของวุฒิสภา และยังมีอีกหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในลักษณะเดียวกันอีกหลายครั้ง จนเกิดการตั้งคำถามและข้อเรียกร้องจากทั้ง สว. และ ประชาชนทั่วไป
ยิ่งชีพ ระบุถึงการฮั้วกันระหว่าง สว. ในรูปแบบถูกกฎหมายและผิดกฎหมายว่า “กฎหมายที่ว่าคือ พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งวุฒิสภา มาตรา 77 ซึ่งไม่ได้ ห้ามการฮั้วแบบนี้ คือถ้าคุยกันถูกคอนัดแนะกัน คุณเลือกผมแล้วผมจะเลือกคุณ ที่ตอนหลังถูกตั้งชื่อว่าจับบัดดี้ หรือคุยกันแล้วตกลงกันเป็นกลุ่ม เช่น ให้ A โหวต A B, ให้ B โหวต B C แล้วให้ C โหวต C A กอดคอเข้ารอบกันหมด แบบนี้ไม่ผิดกฎหมาย ถ้าคุยกันแล้วเข้าใจกันก็ช่วยๆ กันไป”
เขาอธิบายต่อว่า การฮั้วจะผิดกฎหมายก็ต่อเมื่อมีการให้ทรัพย์สิน ให้ผลประโยชน์ตอบแทน การให้ตำแหน่งหน้าที่การงาน เช่น “ถ้าเลือกผม พอผมได้เป็น สว.แล้ว ผมจะตั้งคุณเป็นผู้ช่วย” หรือการออกค่าใช้จ่ายแทนเพื่อให้คนคน นี้เลือกตัวเอง อย่างนี้จะถือว่า ‘ผิดกฎหมาย’ เพราะเข้าข่ายการซื้อเสียง แต่กฎหมายกลับเปิดช่องให้เกิดการพูดคุยตกลงกันในหมู่ผู้สมัคร
ผู้อำนวยการบริหาร iLaw ระบุว่า พอเป็นการ ‘ฮั้วถูกกฎหมาย’ ในรอบระดับประเทศที่มีผู้สมัครกลุ่มละ 144 คน ผลออกมาก็จะไม่มีทางออกมาแบบเดียวกัน แต่ทว่าผลที่ออกมาพบว่ามีการลงคะแนนเป็นแพทเทิร์นที่เขียนเรียงเลขผู้สมัครเหมือนกันทุกลำดับ ซึ่งเขาย้ำว่า มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่กลับพบว่ามีการเขียนเลขเหมือนกันทั้ง 10 ช่อง ถึง 20 ใบ
รวมถึงการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันระหว่าง สว.สีน้ำเงิน กับ พรรคภูมิใจไทย ในการลงมติขวางกฎหมายต่างๆ ด้วยเหตุผลข้างต้น กลุ่ม สว.สำรอง และผู้สมัคร สว.บางส่วนกว่า 40 คน ได้ออกมาเรียกร้องให้ กกต.เร่งสอบสวนคำร้องเกี่ยวกับการจัดตั้งเลือกตั้ง สว. ที่ไม่สุจริตเป็นจำนวนกว่า 570 คำร้อง
และเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คนกลุ่มเดียวกันนี้ยังยื่นหนังสือให้แก่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อให้สอบสวนคดีการฮั้ว การโกง และการบล็อกโหวตในการเลือก สว.ที่ผ่านมา DSI ได้ทำการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน เพราะเชื่อว่ามีขบวนการดังกล่าวจริง ซึ่งเข้าข่ายการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2563 มาตรา 77 (3) ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 ความผิดอาญาฐานอั้งยี่ และความผิดฐานฟอกเงินฯ ส่งผลให้ดีเอสจึงดำเนินการสอบสวนต่อ
อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบดำเนินไปอย่างล่าช้า เพราะ กกต.เพิ่งออกหมายเรียกให้ สว.จำนวน 55 คน ไปรับทราบข้อกล่าวหาเมื่อวันที่ 19-21 พฤษภาคม 2568 แม้ว่าก่อนหน้านี้หรือเมื่อ 3 กันยายน 2567 DSI ได้รับคำร้องสอบสวนฮั้วเลือก สว.และได้ดำเนินการปรึกษากับ กกต.ถึงการตรวจสอบทันที
แต่ DSI ออกมายอมรับว่าไม่เห็นความคืบหน้าจาก กกต.จึงแจ้งข้อมูลเพิ่มต่อ กกต. จนกระทั่ง 10 กุมภาพันธ์ กลุ่ม สว.สำรอง และผู้สมัคร สว. ยื่นหนังสือต่อ DSI ให้การสอบสวนคดีฮั้วประมูลเป็นคดีพิเศษ ส่งผลให้ 17 กรกฎาคม ที่ผ่านมา DSI และไต่สวนกลางมีมติส่งเรื่องให้ กกต.พิจารณา โดยมีผู้เกี่ยวข้องทั้งสิ้น 229 คน ในจำนวนนี้มีกลุ่มกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยและผู้เกี่ยวข้องทั้งสิ้น 91 คน ซึ่งหากพิจารณาเสร็จสิ้นครบทุกขั้นตอน กกต. มีสิทธิยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคภูมิใจไทยได้ในอนาคต
ปมคดีที่ดินเขากระโดง กระทบกับภาพลักษณ์ของ ‘อนุทิน’ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
(Photo by Lillian SUWANRUMPHA / AFP)
คดีนี้ถูกมองว่าเป็น ‘แผลใหญ่ทางการเมือง’ ของพรรคภูมิใจไทยเนื่องจากความยึดโยงกับตระกูลชิดชอบ หรือผู้มีอิทธิพลในบุรีรัมย์ ที่มีที่ดินเขากระโดงอยู่ในโฉนด
พื้นที่เขากระโดงเป็นที่ดินของรัฐ โดยการเวนคืนในปี พ.ศ.2462 เพื่อใช้ทำทางรถไฟ (นครราชสีมา–บุรีรัมย์–อุบลราชธานี) ต่อมามีชาวบ้านและนิติบุคคล (รวมถึงตระกูลชิดชอบ) เข้ามาครอบครองทำโฉนดในหลายแปลง เป็นทั้งที่พัก สนามฟุตบอล สนามแข่งรถ โรงแรม ฯลฯ
ซึ่งการฟ้องร้องเป็นคดีพิพาทระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กับผู้ครอบครองที่กินเวลานานถึง 55 ปีแล้ว ไม่ใช่ว่าเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้ อย่างไรก็ดี คำพิพากษาศาลฎีกาชุดต่างๆ ระบุว่า โฉนดของผู้ฟ้องร้อง (รวม 35 ราย) เป็นที่ของการรถไฟ และต้องดำเนินการขับไล่หรือรื้อถอน ทั้งนี้แม้มีคำพิพากษาออกมา แต่กระบวนการเพิกถอนโฉนดจริงๆ ยังไม่สำเร็จ เพราะมีผู้ถือครองหลายรายที่ยังมีเอกสารสิทธิ
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา ข้อพิพาทพื้นที่เขากระโดงเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยถูกหยิบยกมาพูดถึงมากนัก จนกระทั่งพรรคภูมิใจถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เมื่อ 18 มิถุนายน 2568 หลังจากนั้นไม่นาน ภูมิธรรม เวชยชัย รมว.มหาดไทย ได้มอบหมายให้ เดชอิศม์ ทองขาว รมช.มหาดไทย กำกับให้กรมที่ดินเพิกถอนที่ดินเขากระโดง หากอธิบดีลงนามเพิกถอน ที่ดินดังกล่าวจะถูกเพิกถอนตามกฎหมาย
DSI กล่าวถึงพฤติกรรมของครอบครัวชิดชอบต่อประเด็นการครอบครองเขากระโดงว่า เกิดลักษณะนิติกรรมอำพราง เพราะมีการโอนที่ดินดังกล่าวให้กันภายในครอบครัว อีกทั้งยังบุกรุกพื้นที่สาธารณะเพื่อสร้างสนามแข่งรถ ถือเป็นการใช้ที่ดินมิชอบด้วยกฎหมาย
โดยสรุปแล้วทั้ง 2 คดี ต่างสร้างผลกระทบต่อภาพลักษณ์ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ และ ‘พรรคภูมิใจไทย’ เช่น คดีฮั้ว สว. ทำให้ภูมิใจไทยถูกมองว่าได้อิทธิพลมาจาก สว.สีน้ำเงิน ที่มักลงมติสอดคล้องกัน ส่วนคดีที่ดินเขากระโดง ที่เกี่ยวข้องกับตระกูลชิดชอบ ก็ทำให้ภาพลักษณ์ของพรรคย่ำแย่ลงไปอีก เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าตระกูลชิดชอบถือเป็นแกนกลางสำคัญของพรรคภูมิใจไทย ฉะนั้นการโยงว่าพรรคภูมิใจไทยเกี่ยวข้องกับการบุกรุกที่ดินสาธารณะ จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า คดีฮั้ว สว. และ คดีที่ดินเขากระโดง ต่างสร้างแรงสั่นสะเทือนโดยตรงต่อการเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของอนุทิน แม้ว่าทั้ง 2 คดียังไม่ถึงขั้นคำตัดสินสุดท้ายก็ตามที
อ้างอิงจาก
Photographer: Asadawut Boonlitsak
Graphic Designer: Krittaporn Tochan
Editor: Thanyawat Ippoodom