ก็ไม่ได้เชื่อใจ แต่เลือกอะไรได้บ้าง? ทำยังไงเมื่อจำเป็นต้องพยายามเชื่อใจคนที่เราเกลียด
ในวันที่เก้าอี้หัวหน้าว่างเปล่า โปรเจ็กต์หลายชิ้นก็ดำเนินการต่อไปไม่ได้ ในสถานการณ์สุญญากาศเช่นนี้ ถ้าจะมีใครสักคนก้าวเข้ามาเป็นหัวเรือสานโปรเจ็กต์ต่อให้สำเร็จก็คงจะดี หากแต่คนที่ยกมือเสนอตัวดันเป็นคนที่เราเกลียดเข้ากระดูกดำ แถมคนอื่นในทีมยังมีความเห็นคล้อยตามกับเจ้าตัว พร้อมยกมือโหวตให้เป็นหัวหน้าทีมอีก
ท่ามกลางสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ซึ่งทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันขนาดนี้ เราก็คงไม่อยากเป็นคนเดียวที่มีปัญหา จึงต้องจำใจยกมือโหวตตามๆ กันไป หรือมันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเรียนรู้ที่จะเชื่อใจใครสักคนที่เราเกลียด เพราะหลายสิ่งก็ต้องดำเนินต่อไป เราผู้มองประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลักก็คงไม่อยากให้โปรเจกต์ของทีมมีปัญหาจากเราฝ่ายเดียวหรอก
ทำไมการเชื่อใจคนที่เราเกลียดนักเกลียดหนาถึงเป็นเรื่องแสนยากเสมอ แล้วถ้าวันหนึ่งเรามีเหตุจำเป็นต้องเชื่อใจอีกฝ่าย เราจะเปิดใจได้ยังไงบ้าง?
ทำไมการเชื่อใจคนที่เกลียดถึงเป็นเรื่องยาก
ถ้าถามว่าเกลียดขนาดไหน ก็คงต้องตอบว่าเกลียดระดับที่ ไม่อยากคุยด้วย ไม่อยากข้องเกี่ยว และไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับอีกฝ่าย หากเลือกได้ก็ขอต่างคนต่างอยู่ดีกว่า
อย่างไรก็ตาม เมื่อหน้าที่การงานหรือสถานการณ์บางอย่างบีบบังคับให้เราต้องเข้าหาหรือไว้เนื้อเชื่อใจกัน มันก็ย่อมได้อยู่หรอก เพราะเราก็คงไม่อยากเป็นคนคนนั้น ผู้ทำให้งานติดขัดหรอก แต่การจะเชื่อใจใครสักคน แล้วยิ่งเป็นคนที่เราเกลียดด้วยแล้ว ก็อาจจะยากขึ้นกว่าเดิมไม่มากก็น้อย
ยิ่งเรามองว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูขนาดนี้ เราก็คงไม่อยากมอบความไว้เนื้อเชื่อใจให้คนที่เราเกลียดหรอก เพราะมนุษย์เรามีสิ่งที่เรียกว่า ‘Negativity Bias’ หรืออคติเชิงลบ ซึ่งเป็นแนวโน้มทางจิตวิทยาของบุคคลที่มักจะให้ความสำคัญกับข้อมูลและประสบการณ์เชิงลบมากกว่าเชิงบวก ถึงแม้อีกฝ่ายจะทำเรื่องดีมา แต่ถ้าเรามองอีกฝ่ายในทางลบไปแล้ว ภาพจำด้านลบก็จะเกาะติดเรา และบดบังเรื่องดีของอีกฝ่ายไปโดยปริยาย
ลองนึกภาพตอนที่ใครสักคน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยทำร้ายความรู้สึกเรา แล้วเราก็ดันผูกใจเจ็บกับประสบการณ์ตรงนั้นมาอย่างยาวนาน แม้อีกฝ่ายจะปฏิบัติตัวต่อเราดีขึ้น เราก็มีโอกาสที่จะมองไม่ให้ความดีเหล่านั้น และยังคงมองอีกฝ่ายในเชิงลบต่อไป
นอกจากนี้ Negativity Bias ยังสามารถอธิบายถึงสถานการณ์ที่เราได้รับการปฏิบัติหรือผลตอบรับโดยรวมไปทางบวกมากกว่าทางลบ แต่เราก็มักจะจดจ่อและให้ความสำคัญกับผลตอบรับเชิงลบมากกว่า เช่น เวลาเจ้านายชื่นชมการทำงาน พร้อมด้วยวิจารณ์บางผลงานของเรา เราก็จะโฟกัสและไม่พอใจคำวิจารณ์นั้นมากกว่าจะมองว่าอีกฝ่ายชมเรามากกว่า
พอมาถึงตรงนี้ หลายคนก็อาจสงสัยว่า สุดท้ายเราจะสามารถมองข้ามอคติเชิงลบ แล้วไปโฟกัสไปที่คุณงามความดีของอีกฝ่ายเลยไม่ได้หรอ?
แม้การหลับหูหลับตาและปล่อยวางอคติไปเลยจะดูสร้างผลดีมากกว่า แต่มันอาจเป็นเรื่องยากกว่าที่เราคิด เคนดรา เชอร์รี่ (Kendra Cherry) ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูจิตสังคม อธิบายว่า อคติเชิงลบมีอิทธิพลต่อแรงจูงใจในการกระทำสิ่งต่างๆ ของมนุษย์มากกว่าเชิงบวก ทำให้เรามักจดจำคำพูดแรงๆ ของใครสักคนได้แม่นยำกว่าคำชม หรือใส่ใจกับความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวมากกว่าความสำเร็จนับสิบครั้งที่ผ่านมาของอีกฝ่าย
คงเหมือนกับคำพูดที่เราคุ้นหูกันมานาน ว่าบางคนอาจเคยทำดีมาเป็นร้อยครั้งพันครั้ง แต่เมื่อทำพลาดพลั้งเพียงครั้งเดียว ผู้คนก็อาจให้คุณค่ากับข้อผิดพลาดของเรามากกว่า จนลืมว่าเราเคยทำดีอะไรมาบ้าง
ดังนั้นแล้ว หากจะต้องเอาใจไปเชื่อใครสักคน การมอบให้กับพันธมิตรที่เคยมอบประสบการณ์เชิงบวกให้ ก็อาจง่ายกว่าการต้องลงใจร่วมมือกับใครสักคนที่เราเกลียด
แล้วถ้าต้องเชื่อใจ เราจะเชื่อใจได้ยังไงดี
ทั้งนี้ทั้งนั้น ในบางสถานการณ์ มันก็ต้องมีบ้างที่เราต้องฝืนตัวเองทำบางสิ่งที่ไม่คิดอยากจะทำ การต้องเชื่อใจหรือจับมือกับใครสักคนที่เราไม่ชอบหน้าก็เช่นกัน เพราะเมื่อสถานการณ์บีบบังคับ เราก็อาจจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะเชื่อใจอีกฝ่าย
แอนเดรีย โบนัวร์ (Andrea Bonior) นักจิตวิทยาคลินิกจาก Psychology Today และดีพ ปาเทล (Deep Patel) โค้ชด้านธุรกิจ เจ้าของหนังสือ A Paperboy's Fable: The 11 Principles of Success ได้แนะนำวิธีการเชื่อใจคนที่เราเกลียด แม้ในสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้ทุกคนที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์เหล่านี้ลองไปประยุกต์ใช้กัน ดังนี้
โฟกัสที่เป้าหมายของการร่วมมือกันครั้งนี้: เมื่อสถานการณ์บีบบังคับให้เราต้องเชื่อใจและจับมือกับคนที่เกลียด ก็ให้เล่นไปตามน้ำ ยกผลลัพธ์ที่ได้จากการเชื่อใจมาเป็นตัวตั้ง เผื่อให้เรามองไกลไปกว่าการไว้เนื้อเชื่อใจครั้งนี้ เช่น งานสำเร็จตามเป้า ปัญหาถูกแก้ไข หรืองานดำเนินต่อไปได้ มองว่าการเชื่อใจไม่ใช่ทุกสิ่ง: ให้เราตระหนักเอาไว้เสมอ ว่าการเชื่อใจไม่ใช่ทุกสิ่งเสมอไป แม้เราเชื่อใจอีกฝ่ายในวันนี้ ไม่ได้หมายความว่า เราจะยอมรับพฤติกรรมหรือการปฏิบัติตัวในทางลบที่ผ่านมาของเขาได้ แยกบทบาทหน้าที่ของเขาออกจากเรื่องส่วนตัว แล้วให้ความสำคัญแค่สิ่งที่เราต้องรับผิดชอบก็พอ กำหนดขอบเขตให้ชัดเจน: กำหนดขอบเขตความสัมพันธ์ให้ชัดเจน ว่าเราจะมีปฏิสัมพันธ์กับอีกฝ่ายแค่เรื่องที่จำเป็นเท่านั้น ไม่ต้องลงลึกในเรื่องส่วนตัวโดยเด็ดขาด การสร้างขอบเขตนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้ความรู้สึกส่วนตัวมาส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของเรา สร้างความเชื่อใจจากสิ่งที่จับต้องได้: ในวันที่อคติด้านลบบดบังจนรู้สึกว่าการเชื่อใจในครั้งนี้ยากกว่าที่คิด ก็อาจต้องเลือกเชื่อใจในสิ่งที่จับต้องได้มากกว่าดู อาทิ อีกฝ่ายทำงานออกมาได้ดี มีความรับผิดชอบสูง บรรลุเป้าหมายต่างๆ ตามที่วางไว้ได้ ซึ่งการมองด้วยเลนส์เหล่านี้ก็อาจช่วยให้เราสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวของอีกฝ่ายได้มากก็น้อย ใช้เวลาค่อยๆ เปิดใจ แล้วเราจะเชื่อใจได้เอง: เราไม่จำเป็นต้องเชื่อใจอีกฝ่ายโดยทันที แต่ใช้วิธีค่อยๆ เปิดใจแทน เพราะความเชื่อใจไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสร้างได้ชั่วข้ามคืน โดยเราอาจลองสร้างมันขึ้นมาจากพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ของอีกฝ่าย ความไว้ใจก็จะค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาเอง และแม้ว่าเราจะยังคงไม่ชอบเขาเหมือนเดิม แต่ก็จะสามารถเชื่อใจอีกฝ่ายในระดับที่จำเป็นได้มากขึ้น
แม้การจะเชื่อใจคนที่เราเกลียดดูจะเป็นเรื่องยาก แต่บางครั้งที่สถานการณ์บีบบังคับให้ทำ แล้วเราเองก็ไม่มีทางเลือก ก็อาจจำเป็นต้องเล่นไปตามน้ำ มอบความเชื่อใจให้อีกฝ่าย ถึงในใจลึกๆ จะไม่ได้มอบให้จริงๆ ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม หากสิ่งที่อีกฝ่ายเคยปฏิบัติต่อเรา จนกระทบต่อความรู้สึกเราอย่างมากๆ มาก่อน เราก็อาจไม่จำเป็นต้องเชื่อใจ แล้วเลือกยืนหยัดในจุดยืนและความคิดของตัวเองก็ได้เช่นเดียวกัน ขอแค่ทุกสิ่งที่ทำเกิดขึ้นจากความพึงพอใจของเราก็พอ
อ้างอิงจาก
Graphic Designer: Phitsacha Thanawanichnam
Editorial Staff: Paranee Srikham