ประกันความเสี่ยงภัยพิบัติ สร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินให้เกษตรกรแบบทันท่วงที
เกษตรกรซึ่งมีรายได้ไม่แน่นอนและพึ่งพาธรรมชาติเป็นหลัก กลายเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุดต่อความปั่นป่วนของภูมิอากาศโลก
อย่างไรก็ตาม แม้รัฐจะอัดฉีดงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อ “เยียวยา” ภายหลังความเสียหาย แต่วิธีการแบบเดิมเหล่านี้อาจไม่สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 ที่ภัยพิบัติทางธรรมชาติไม่ใช่เรื่องผิดปกติอีกต่อไป แต่กลายเป็น “ความปกติใหม่” ที่แรงขึ้น และเร็วขึ้น การเยียวยาแบบเดิม ๆ อาจทำให้การฟื้นตัวของเกษตรกรทำได้ยาก เพราะการประเมินความเสียหายใช้เวลานาน
วันนี้จึงอยากเสนอว่า รัฐไทยควร“เปลี่ยนทิศทาง” จากนโยบายเยียวยาแบบเดิม ไปสู่การสร้างระบบ “ประกันภัยพิบัติด้านภูมิอากาศ” ผ่านเครื่องมือการเงินรูปแบบใหม่ที่ชื่อว่า “การประกันภัยพิบัติแบบอิงดัชนีสภาพภูมิอากาศ” ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมใช้ในต่างประเทศ เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันทางการเงินให้เกษตรกรรายย่อย ในการรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระงบประมาณรัฐ และเปิดประตูสู่นโยบายการคลังแบบยั่งยืนมากขึ้น
หากถามว่าเครื่องมือนี้ต่างจากแนวคิดเดิม ๆ ที่เราเคยใช้อย่างไร อาจต้องบอกว่าโครงการเยียวยา แบบเดิมอาจมีการกำหนดว่า จะมีการจ่ายเงินเยียวยามูลค่าเท่าไหร่ตามขนาดพื้นที่ ซึ่งนั่นหมายความว่าต้องเกิดความเสียหายก่อน และเมื่อเกิดความเสียหายแล้ว ยังต้องรอประเมินความเสียหายอีก
กลไกแบบเดิมนี้มีจุดอ่อนสำคัญคือความล่าช้าในการดำเนินการ ใช้ดุลพินิจสูง ใช้บุคลากรจำนวนมาก และไม่สามารถตอบสนองความต้องการเงินทุนอย่างเร่งด่วนของเกษตรกรได้ทันเวลา ระบบเยียวยาที่พึ่งพาการตรวจสอบความเสียหายภาคสนาม และการขออนุมัติงบประมาณจากส่วนกลาง ยังไม่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่ทวีความเร็วและรุนแรงขึ้น การจ่ายเงินที่ล่าช้าทำให้เกษตรกรต้องขายทรัพย์สิน กู้หนี้ หรือเลิกทำการเกษตรในที่สุด
นี่คือเหตุผลที่ควรหันมาใช้แนวทางใหม่ คือ “การประกันภัยพิบัติแบบอิงดัชนีสภาพภูมิอากาศ” หรือ Index-Based Weather Insurance ซึ่งใช้หลักการจ่ายค่าชดเชยโดยอิงจากข้อมูลสภาพภูมิอากาศที่ตรวจวัดได้จริง เช่น ปริมาณฝน ความชื้นในดิน หรืออุณหภูมิ หากข้อมูลดังกล่าวเข้าเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ระบบจะจ่ายเงินให้เกษตรกรทันที โดยไม่ต้องมีการลงพื้นที่ตรวจสอบแปลง
ประโยชน์ของแนวคิดนี้ไม่ได้จำกัดอยู่ที่เกษตรกรเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อภาครัฐ โดยสามารถกำหนดงบประมาณช่วยเหลือล่วงหน้าได้ ลดแรงกดดันทางการเมือง และลดภาระการเบิกจ่ายงบกลางแบบไม่แน่นอน ที่สำคัญคือ ลดประเด็นปัญหาการทุจริตในโครงการภาคเกษตรอีกด้วย
เนื่องจากการอิงตัวชี้วัดด้านสภาพภูมิอากาศที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น ช่วยลดปัญหาการใช้ดุลยพินิจของเจ้าพนักงานประเมินความเสียหาย ทั้งยังสอดคล้องกับแนวทางการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่เปิดโอกาสให้รัฐไทยเข้าถึงเงินทุนจากกองทุนระหว่างประเทศ เช่น Green Climate Fund หรือ Adaptation Fund ได้อีกด้วย
หากรัฐบาลมีความจริงใจและจริงจังในการผลักดันการประกันภัยพิบัติแบบอิงดัชนีสภาพภูมิอากาศให้มากยิ่งขึ้น จะช่วยส่งผลให้เกษตรกรไทยมีหลักพิง และได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที เพราะระบบการเงินจะผูกโยงกับระบบเงินดิจิทัล เมื่อตัวแปรทางด้านด้านภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงเกินค่ามาตรฐานที่การประกันกำหนดไว้ ระบบก็จะทำการโอนเงินช่วยเหลือให้เกษตรกรได้ในทันที นั่นหมายความว่า เกษตรกรจะมีเงินทุนสำรองในการดำเนินการเพาะปลูกใหม่ได้ทันทีหลังภัยพิบัติผ่านพ้นไปแล้ว
ฉะนั้นการเปลี่ยนผ่านจากระบบเยียวยาไปสู่ระบบประกันภัยพิบัติคือ การลงทุนเพื่อความมั่นคงของประเทศในระยะยาว การมีระบบที่จ่ายเงินอัตโนมัติ เมื่อเกิดภัยพิบัติ โดยไม่ต้องรอให้เกษตรกรร้องขอคือ การสร้างความเชื่อมั่นให้กลุ่มบุคคลที่เรามักเรียกว่า “กระดูกสันหลัง” ของประเทศ
ในโลกที่ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างไม่แน่นอน ไม่มีใครรอดพ้นจากผลกระทบ แต่สามารถเลือกได้ว่าจะรับมือด้วยวิธีแบบเดิม ๆ หรือจะสร้างระบบที่ยืดหยุ่น ยั่งยืน และเท่าทันอนาคต ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลไทยต้องคิดใหม่ ทำใหม่ และลงมือจริง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินให้เกษตรกรไทยในยุคการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความปกติใหม่
บทความโดย : รองศาสตราจารย์ ดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์