นโยบายปกครองเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ของ “โจโฉ” เบื้องหลังความแข็งแกร่งของรัฐวุยในยุคสามก๊ก
เหตุการณ์ในสามก๊กไม่ใช่เรื่องราวของคน “หัวเซี่ย” หรือชาวฮั่น (จีนแท้) เท่านั้น เพราะแผ่นดินจีนมีผู้คนหลากหลายเผ่าพันธุ์ ประวัติศาสตร์แห่งการหลอมรวมเพื่อ “กลืน” เผ่าพันธุ์อื่น ๆ จึงเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติจีนอย่างแยกกันไม่ออก
เบื้องหลังการก่อสร้างรัฐวุย ง่อ และจ๊ก ของโจโฉ ซุนกวน และเล่าปี่ ตามลำดับ นอกจากต้องทำสงครามชิงดินแดนและผู้คนกันแล้ว ผู้นำทั้ง 3 ยังต้องเผชิญกับปัญหาชนเผ่าอื่น ๆ ในพื้นที่ของตนด้วย ตัวอย่างชัด ๆ เลยคือการปราบคนเถื่อนแดนใต้ของ “ขงเบ้ง” กุนซือคนสำคัญของเล่าปี่
วุยก๊กกับง่อก๊กเองมีเรื่อง (มี) ราวกับชนเผ่าต่าง ๆ แทรกอยู่เช่นกัน แต่ “หลอกว้านจง” (ผู้ประพันธ์สามก๊ก) ไม่ได้เน้นกล่าวถึง ทั้งที่เหตุการณ์เหล่านั้นกระทบต่อประวัติศาสตร์จีนอย่างใหญ่หลวง
โอกาสนี้จะขอเล่าถึงนโยบายของวุยก๊กในการ “จัดการ” ชนเผ่าที่ไม่ใช่ชาวฮั่น
วุยก๊กของโจโฉปกครองดินแดนภาคเหนือและภาคกลางหรือแผ่นดินตงง้วน (จงหยวน) ซึ่งเป็นอาณาบริเวณที่มีอาณาเขต หัวเมือง และราษฎรมากที่สุดในสามก๊ก ปัญหาเรื่องชนเผ่าในวุยก๊กจึงซับซ้อนที่สุดตามไปด้วย พื้นที่ตรงนี้มีการผสมผสานทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมระหว่างจีนแท้ลุ่มแม่น้ำฮวงโหกับชนเผ่ารอบ ๆ ทุกทิศทุกทาง ทั้งทิศเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันตกเฉียงเหนือ และตะวันตก
นอกจากนี้ กำแพงเมืองจีนที่กั้นระหว่างชาวฮั่นกับชนเผ่าทางเหนือ หรือที่เรียกว่าชนเผ่านอกด่านก็อยู่ในเขตของวุยก๊ก กำแพงนี้สร้างและต่อเติมเรื่อยมาตั้งแต่ยุคเลียดก๊ก (ศตวรรษที่ 8-5 ก่อนคริสตกาล) สมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ (ปีที่ 221-210 ก่อนคริสตกาล) เนื่องจากวัฒนธรรมหัวเซี่ยมีรากฐานเป็นเกษตรกรรม ส่วนคนทางเหนือคือปศุสัตว์ กำแพงนี้จึงมีหน้าที่ป้องกันการรบกวนจากชนเผ่าทางเหนือ ซึ่งเป็นนักรบบนหลังม้าไม่ให้มารบกวนชาวนาในตงง้วน
พอมาถึงยุคสามก๊ก ชนเผ่านอกด่านบางส่วนได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวุยก๊ก ได้แก่ เผ่าอูหวน ซงหนู ตี๋ เชียงโดยที่บางส่วน (เผ่าเดียวกัน) ก็อยู่นอกการปกครองของวุยก๊ก รวมถึงเผ่าเซียนเปย ตงอี้และเผ่าต่าง ๆ ในเอเชียกลาง ที่วุยก๊กไม่ได้เข้าไปปกครองโดยตรง
การปะทะสังสรรค์ระหว่างอารยธรรมเกษตรกรรมและปศุสัตว์ในยุคสามก๊ก ยังส่งผลต่อประวัติศาสตร์จีนหลังจากนั้น ดังเห็นว่ามีชนเผ่านอกด่านเข้ามาปกครองจีนได้ถึง 3 ครั้งใหญ่ ๆ ครั้งแรกเกิดขึ้นหลังยุคสามก๊ก คือปลายราชวงศ์จิ้น ต่อยุคหนาน-เป่ย หรือราชวงศ์เหนือ-ใต้ (ค.ศ. 420-589) ครั้งที่ 2 คือราชวงศ์หยวนของชาวมองโกล (ค.ศ. 1271-1368) และครั้งที่ 3 คือราชวงศ์ชิงของชาวแมนจู (ค.ศ. 1636-1912)
การที่ชนเผ่าที่ไม่ใช่ชาวหัวเซี่ยสามารถครอบครองตงง้วนในยุคหนาน-เป่ยได้นั้น สาเหตุสำคัญประการหนึ่งก็สืบทอดมาจากนโยบายของโจโฉนั่นเอง
ยุทธศาสตร์การจัดการกับชนเผ่าต่าง ๆ ของโจโฉ สรุปสั้น ๆ ได้ดังนี้
ต่อเผ่าอูหวน ซงหนู ตี๋ และเชียง ที่อยู่ในอาณาจักร โจโฉใช้นโยบายกำราบปราบปรามก่อน จากนั้นโยกย้ายให้กระจายตัวกันออกไป บังคับเกณฑ์ไพร่พลเข้ากองทัพ และเก็บส่วยภาษีต่าง ๆ เหมือนราษฎรจีน เรียกว่านโยบาย “หลอมรวมด้วยกำลังบังคับ”
สำหรับชาวเซียนเปย ซึ่งอยู่นอกอาณาจักร โจโฉใช้นโยบายเกลี้ยกล่อมให้ยอมเป็นเมืองขึ้น เรียกว่า“นโยบายสวมบังเหียน”
ส่วนชาวตงอี๋ และเผ่าต่าง ๆ ในซีเซี่ย (เอเชียกลาง) โจโฉใช้นโยบายผูกสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ แลกเปลี่ยนด้วยระบบ “จิ้มก้อง”
ร่องรอยในวรรณกรรม
เรื่องราวของโจโฉกับชนต่างเผ่าปรากฏอยู่ในวรรณกรรมสามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) นั่นคือ เผ่าอูหวนซึ่งโจโฉสามารถกำราบจนราบคาบได้เมื่อ ค.ศ. 207
เดิมชาวอูหวนเป็นกำลังหนุน “อ้วนเสี้ยว” คู่ปราบคนสำคัญในช่วงสถาปอำนาจวุยก๊ก เมื่อโจโฉปราบอ้วนเสี้ยวสำเร็จ ตามด้วยกวาดล้างอ้วนฮี อ้วนซง บุตรของอ้วนเสี้ยว ผนวกเมืองกิจิ๋วและเปงจิ๋วเป็นของตน ปรากฏว่า 2 พี่น้องสกุลอ้วนต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปพึ่งเผ่าอูหวน โจโฉจึงตามไปพิชิต “เป๊กตุ้น” ประมุขเผ่าอูหวนที่เมืองหลิวเซีย (หลินเฉิง) เพื่อถอนรากถอนโคนศัตรูในแดนเหนือ
เผ่าอูหวนสงบราบคาบอยู่พักหนึ่งก็แข็งข้อขึ้นอีก โจโฉจึงส่งโจเจียงบุตรชายเป็นแม่ทัพไปปราบได้สำเร็จเมื่อ ค.ศ. 218
ช่วงเวลาใกล้เคียงกัน มีเหตุการณ์สงครามระหว่างโจโฉกับ “โกกัน” เจ้าเมืองเปงจิ๋ว (ซานซี) ดินแดนเปงจิ๋วมี เผ่าซงหนู อาศัยอยู่แสนกว่าคน ซึ่งปลายราชวงศ์ตงฮั่น (ค.ศ. 25-220) พวกซงหนูมักจะรุกรานจีนอยู่บ่อยครั้ง โจโฉทำสงครามปราบปรามเผ่านี้ได้ชัยชนะเป็นลำดับจนประสบความสำเร็จอย่างเด็ดขาดคราวปราบโกกัน จากนั้นใช้นโยบายแบ่งแยกแล้วปกครอง ตั้งตานอวี่ (ประมุขเผ่า) ปกครองพวกซงหนูโดยแบ่งเป็น 5 เขต ตั้งแต่นั้นชนกลุ่มนี้ก็ไม่ก่อความวุ่นวายให้วุยก๊กอีกเลย
ต่อมาคือเผ่าตี๋ เผ่าเชียงซึ่งส่วนใหญ่อยู่ทางแถบกานซู่และส่านซี สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เรียกดินแดนเหล่านี้ว่า ตงเหลียง และเสเหลียง ในเนื้อความตอนม้าเฉียว-หันซุย ทำศึกกับโจโฉ กำลังพลของม้าเฉียวและหันซุยส่วนใหญ่ก็คือเผ่าตี๋ เผ่าเชียง นี้เอง
ตามประวัติศาสตร์ ชนกลุ่มนี้อาศัยอยู่ทั่วกานซู่ ส่านซี รวมถึงฮันต๋ง ที่อยู่ภายใต้การปกครองของเตียวฬ่อ เมื่อโจโฉปราบปรามขุนศึกเหล่านี้เสร็จ ก็อพยพชาวตี๋ ชาวเชียง ไปเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรวุยก๊กถึง 8 แสนกว่าครัวเรือน
สำหรับเผ่าเซียนเปยโจโฉใช้ยุทธวิธีแบ่งแยกแล้วเกลี้ยกล่อมให้สวามิภักดิ์ พร้อมตั้งประมุขเผ่าใหญ่ ๆ ให้เป็นอ๋อง ถ้าเผ่าใดในพวกเซียนเปยแข็งแกร่งเกินไปก็จะกำราบปราบปรามให้อ่อนกำลังลง
โจโฉดำเนินยุทธศาสตร์โดยใช้ไม้แข็งสลับไม้อ่อน ครบทั้ง “พระเดช” และ “พระคุณ” ซึ่งมีประสิทธิภาพทีเดียว เพราะทำให้วุยก๊กมีกำลังเหนือกว่าอีก 2 ก๊กอย่างชัดเจนตลอดยุคสามก๊ก
อย่างไรก็ตาม นโยบายกวาดต้อนอพยพชนเผ่าต่าง ๆ เข้ามาอยู่ในอาณาจักรส่งผลเสียในระยะยาว เมื่อลูกหลานของโจโฉ ตลอดจนฮ่องเต้ราชวงศ์จิ้น (ลูกหลานสุมาอี้) ปฏิบัติแนวทางดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตราส่วนระหว่างพลเมืองหัวเซี่ยกับชนต่างเผ่าเสียสมดุล คือมีจำนวนคนที่เป็นชนเผ่าอื่น ๆ มากเกินควบคุม
สุดท้าย เมื่อราชวงศ์จิ้นเสื่อมโทรมจึงเกิดจลาจลขึ้น ชนเผ่าต่าง ๆ ลุกฮือก่อตั้งราชวงศ์ของเผ่าตนเอง แยกเป็นรัฐเล็กรัฐน้อยมากมายในยุคหนานเป่ย ส่วนราชวงศ์จีนแท้ต้องอพยพหลบภัยลงใต้อย่างสะบักสะบอม กว่าจะรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่นได้อีกก็ต้องใช้เวลาร่วมร้อยปี
อ่านเพิ่มเติม :
- ทำไม “โจโฉ” ประหาร “หมอฮัวโต๋” (หัวถัว) แพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ในจีนยุคเก่า?
- กำแพงเมืองจีน ไม่ใช่สร้างแค่ในสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ แต่สร้าง-ซ่อมในหลายราชวงศ์
- ศึกผาแดงที่ทัพเรือโจโฉโดนเผาวอด มิใช่แพ้เพราะสู้ศึกไม่ได้ แต่แพ้เพราะโรคระบาด
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
สามก๊ก ฉบับสามกั๊ก (ไม่ระบุผู้เขียน).เผ่าพันธุ์อื่น ๆ ในสามก๊ก : วุยก๊ก นโยบายยืดหยุ่น ยุทธศิลป์อันชาญฉลาดของ – โจโฉ.นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนธันวาคม พ.ศ. 2536.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 6 สิงหาคม 2568
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : นโยบายปกครองเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ของ “โจโฉ” เบื้องหลังความแข็งแกร่งของรัฐวุยในยุคสามก๊ก
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com