เมเจอร์ฯ ร่วมทุนเถ้าแก่น้อย ตั้งบริษัทขายป๊อปคอร์นซองบุกตลาด
อุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ไม่ได้มีเพียงรายได้จากการขายตั๋วอย่างเดียว แต่ “ป๊อปคอร์น” และสินค้าหน้าโรงหนังก็เป็นอีกเส้นเลือดใหญ่ที่สร้างกำไรให้ผู้ประกอบการในตลาด
หนึ่งในนั้นคือ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) ที่วันนี้เดินเกมครั้งสำคัญ ขยับจากพันธมิตรสู่การ “ร่วมทุน” กับผู้นำสแน็กสาหร่าย บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน)
ล่าสุดทั้งสองได้ตั้งบริษัทร่วมทุน “ทีเคเอ็น แอนด์ เมเจอร์ ป๊อปคอร์น จำกัด” ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท โดย เถ้าแก่น้อย ถือหุ้น 51% และ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ถือหุ้น 49% ภารกิจหลักคือ ผลิต จัดซื้อ และจำหน่ายป๊อปคอร์นแบบซองพร้อมรับประทาน ทำตลาดครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศ เจาะตั้งแต่ผู้บริโภคหน้าโรงหนังจนถึงช่องทางค้าปลีกสมัยใหม่
เมเจอร์มอง ป๊อปคอร์น มีศักยภาพโต
ปี 2567 เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ทำรายได้รวม 7,767 ล้านบาท โดยธุรกิจโรงภาพยนตร์ครองสัดส่วนรายได้สูงสุดที่ 79% ส่วนที่เหลือมาจากธุรกิจโฆษณา โบว์ลิ่งและคาราโอเกะ การให้เช่าพื้นที่ และธุรกิจสื่อภาพยนตร์
แต่หนึ่งในธุรกิจที่มีศักยภาพ คือ การขายอาหารและเครื่องดื่ม (Concession) หน้าโรงหนังมีสัดส่วนถึง 26% ซึ่งรายได้หลักมาจาก “ป๊อปคอร์น” และเครื่องดื่มอัดลมที่เสิร์ฟในภาชนะดึงดูดลูกค้า โดยเฉพาะออกแบบอิงกับหนังเรื่องโปรดที่เข้าโรงในแต่ละเดือน มีเมนูขายดีเป็นพระเอก เมเจอร์ฯ ยังเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้า ด้วยการเสิร์ฟแซนวิช ฮอทดอก สแน็กอื่นๆ เช่น มันฝรั่งแผนกรอบ สาหร่ายอบกรอบ ลูกอม เพิ่มด้วย
จากศักยภาพของป๊อปคอร์น ที่ผ่านมา เมเจอร์ ต่อยอดสู่โมเดลใหม่อย่างการเปิด Kiosk ป๊อปคอร์นในพื้นที่ห้างค้าปลีกต่างๆ ซึ่งผลตอบรับดีสร้างยอดขายสัดส่วน 20% จากป๊อปคอร์นทั้งหมด และยังขายผ่านร้านสะดวกซื้อ เป็นต้น และยังได้สร้างแบรนด์ “ป๊อปสตาร์” เจาะตลาดป๊อปคอร์นในร้านสะดวกซื้อ และยังผนึกพันธมิตรกับ “เถ้าแก่น้อย” ในฐานะผู้ถือหุ้น 10% เพื่อเสริมศักยภาพด้านการตลาดและช่องทางจำหน่าย
จากหุ้น 10% สู่การร่วมทุน
วิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ เคยระบุว่า การเข้าถือหุ้นใน เถ้าแก่น้อย คือการ “ติดอาวุธ” ให้ธุรกิจป๊อปคอร์นสามารถขยายสู่ตลาดต่างประเทศได้รวดเร็วขึ้น เพราะเถ้าแก่น้อยมีเครือข่ายตลาดสแน็กในจีน และฐานการผลิตในสหรัฐฯ ซึ่งช่วยต่อจิ๊กซอว์ให้สินค้าสแน็กไทยมีโอกาสปักหมุดในตลาดโลกได้มากขึ้น
ตลาดขนมขบเคี้ยวยังโต แต่แข่งดุ
ทั้งนี้เมื่อดูข้อมูลตลาดขนมขบเคี้ยว ตามข้อมูลศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานเอาไว้ว่า ปัจจุบันมีผู้เล่นในตลาดไม่น้อยกว่า 298 ราย ซึ่งปัจจัยการแข่งขันสูงมาจากอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ของตลาดขนมขบเคี้ยวที่สูงราว 20-35% ส่วนหนึ่งมาจากราคาวัตถุดิบที่เป็นสินค้าเกษตรที่มีราคาไม่สูง ทำให้สร้างมูลค่าเพิ่มได้ดี จึงจูงใจให้มีผู้เล่นเข้าสู่ตลาดจำนวนมากและทำให้ตลาดขนมขบเคี้ยวมีการแข่งขันรุนแรง
ในปี 2568 ยอดขายขนมขบเคี้ยวของไทย คาดว่าจะโต 1.5% ชะลอลงจากปี 2567 ที่โต 4.7% เนื่องจากเผชิญปัจจัยบวกที่แผ่วลงจากปี 2567 ตามภาคการท่องเที่ยวไทยที่เติบโตช้า ส่งผลต่อการบริโภคขนมขบเคี้ยวในระหว่างเดินทางท่องเที่ยวและสังสรรค์ให้เพิ่มขึ้นไม่มาก อย่างไรก็ดี ต้นทุนการผลิตหลักอย่างราคาวัตถุดิบในรายการสำคัญมีแนวโน้มปรับลดลง
ส่วนการส่งออกขนมขบเคี้ยวไทยที่มีสัดส่วนปริมาณราว 18% โดยในปี 2564-2567 ปริมาณส่งออกขนมขบเคี้ยวไทยโตต่ำเฉลี่ย 1.2% ต่อปี และแม้ว่าในช่วง 2 เดือนแรกปี 2568 จะโตพุ่ง 28.9% แต่ไปข้างหน้าก็ยังต้องเผชิญการแข่งขันรุนแรงโดยเฉพาะในตลาดจีน ที่มีทั้งแบรนด์ขนมเก่าและใหม่ในตลาดจำนวนมากอีกทั้งยังมีราคาถูก จะกดดันการส่งออกขนมขบเคี้ยวของไทย
อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาดูว่า การตั้งบริษัทร่วมทุน ทีเคเอ็น แอนด์ เมเจอร์ ป๊อปคอร์น จึงไม่ใช่แค่การเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ แต่เป็นการวางหมากรุกตลาดป๊อปคอร์นทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมจุดแข็งของเมเจอร์ฯ ในฐานะแบรนด์โรงภาพยนตร์อันดับ 1 ของไทย เข้ากับศักยภาพเครือข่ายจำหน่ายและการตลาดระดับโลกของเถ้าแก่น้อย เพื่อสร้างการเติบโตในธุรกิจสแน็กอย่างยั่งยืน
[ส่องตลาดขนมขบเคี้ยวไทย แข่งเดือด มีผู้เล่นไม่ต่ำกว่า 298 ราย]
Source : กรุงเทพธุรกิจ, ศูนย์วิจัยกสิกรไทย,
https://www.set.or.th/th/market/news-and-alert/newsdetails?id=97996201&symbol=MAJOR&fbclid=IwQ0xDSwMGdGpleHRuA2FlbQIxMQABHmMhBnmHThzfODEIPZRsiA2inPGujC7Sphs2WC0kuFvXYNegMvo59VXZXs0x_aem_dciqP4T3_rGlDGGO5qxkig