จะแตกต่างอย่างไร ? เมื่อใคร ๆ ก็ใช้ AI ช่วยทำงาน
เมื่อ AI กลายเป็นเครื่องมือที่ทุกคนเข้าถึงได้ การนำ AI มาช่วยในการทำงานเพื่อลดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่เมื่อทุกคนใช้เครื่องมือเดียวกัน ผลลัพธ์ที่ได้ก็อาจจะออกมาคล้ายคลึงกัน แล้วจะแตกต่างอย่างไรเมื่อใคร ๆ ต่างก็ใช้ AI ช่วยทำงาน ?
แค่สะดวกอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องใช้ให้ฉลาดด้วย
ทุกวันนี้ การใช้ AI ช่วยทำงานเพื่อย่นระยะเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับงาน ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป ซึ่งมีข้อดีหลายอย่าง เช่น ช่วยสรุปข้อมูล นำเสนอไอเดียใหม่ ๆ ถาม-ตอบในเรื่องที่สงสัย ไปจนถึงการทำการตลาด และวิทยานิพนธ์
ผลสำรวจจากงานวิจัย MIT Media Lab ได้ทดลอง 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ กลุ่มที่ใช้ AI อย่าง Chat GPT (LLM) ในการเขียน, กลุ่มที่ใช้ Google Search เพื่อช่วยค้นข้อมูล และกลุ่มที่เขียนด้วยตัวเอง โดยไม่ใช้เครื่องมือใด ๆ ผลลัพธ์ที่ได้นั้นแสดงให้เห็นว่ากลุ่มคนที่ใช้ AI นั้น แม้จะช่วยลดเวลาทำงานได้จริง แต่งานที่ได้ก็ขาดเอกลักษณ์และสไตล์ที่เป็นของตัวเอง
บางครั้งคุณเองอาจจำไม่ได้ว่าเคยเขียนอะไรลงไปในงานบ้าง นั่นเป็นเพราะคุ้นชินกับการพึ่งพา AI มากเกินไป เพียงคลิกเดียวก็นำข้อมูลไปใช้ได้เลย จนทำให้มองข้ามกระบวนการคิดวิเคราะห์ ค้นคว้า และตกตะกอนทางความคิด ทักษะที่เคยเป็นจุดแข็งอาจจะเลือนหายไปโดยไม่รู้ตัว อย่างล่าสุดเพิ่งมีงานวิจัยที่พบว่าแม้แต่หมอที่ใช้ AI ในเวลาไม่กี่เดือนยังทำให้สกิลในการวินิจฉัยลดลง ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลต่อทักษะเท่านั้น แต่ส่งผลต่อความจำในระยะยาวอีกด้วย
จะคิดและใช้ AI อย่างไรให้แตกต่าง ?
การคิดให้แตกต่างในยุคที่ AI กลายเป็นเครื่องมือที่ทุกคนใช้ แค่สะดวกอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องใช้ AI ให้ฉลาดขึ้น เพื่อเสริมทักษะ ไม่ใช่ให้คิดแทน
1. AI Literacy ไม่ใช่แค่รู้ แต่ต้องเข้าใจ
AI Literacy หรือความฉลาดรู้ทางเอไอ คือทักษะในการทำความเข้าใจหลักการทำงาน ประเมินความน่าเชื่อถือ และวิเคราะห์เทคโนโลยี AI อย่างมีวิจารณญาณ ถือว่าเป็นทักษะที่จำเป็นมาก ๆ ในยุคนี้ มันไม่ใช่แค่การรู้ว่าต้องป้อน Prompt อย่างไร แต่คือการเข้าใจว่า AI ทำงานอย่างไร มีข้อจำกัดอะไร และผลลัพธ์ที่ได้มีความน่าเชื่อถือแค่ไหน หัดตั้งคำถามกับข้อมูลที่ AI สร้างขึ้น เพื่อไม่ให้ AI ชี้นำหรือคิดแทนไปซะหมด และใช้เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างสรรค์หรือประยุกต์ให้เข้ากับงานอย่างเหมาะสม
2. เปลี่ยน AI จาก ผู้คิดแทน เป็น ผู้ช่วยคิด
หัวใจสำคัญ คือการวางตำแหน่งของ AI ให้ถูกต้อง ใช้มันเป็นเครื่องมือช่วยหาไอเดียเพื่อจุดประกายมุมมองใหม่ ๆ ถามอย่างมีเป้าหมาย รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร อย่าปล่อยให้ AI เขียนหรือคิดแทนคุณทั้งหมด แม้ว่า AI จะให้คำตอบที่ตรงใจ ควรกลั่นกรองและเรียบเรียงเนื้อหาด้วยตัวเอง เพราะหากปล่อยให้ AI คิดแทน ไม่เพียงแค่งานของคุณอาจถูกลดทอนคุณค่า แต่ตัวตนในผลงานของคุณอาจเลือนหายไปด้วยเช่นกัน
3. เปลี่ยนบทบาทเป็นบรรณาธิการ
หลาย ๆ คนใช้ AI เพื่อเขียนงาน คิดแคมเปญโฆษณา หรือช่วยทำเอกสาร ต่อให้ AI จะร่างเนื้อหามาได้ดีแค่ไหน แต่หน้าที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นของมนุษย์ นั่นคือการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ปรับแก้สำนวนภาษาให้เป็นธรรมชาติ และที่สำคัญที่สุดคือการเติม “ความเป็นมนุษย์” ไม่ว่าจะเป็นมุมมอง ประสบการณ์ หรือสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของคุณเข้าไป เพื่อให้งานที่ได้มีคุณภาพและสะท้อนความคิดของคุณเอง
4. ใช้ให้ถูกจุดประสงค์และอย่าทิ้งทักษะเดิม
แม้ AI จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยลดทอนเวลาการทำงาน ช่วยในการตัดสินใจที่ซับซ้อน แต่สิ่งสำคัญต้องหมั่นฝึกฝนทักษะการเขียน การค้นคว้า และการคิดวิเคราะห์ด้วยตนเองอยู่เสมอ ฝึกคิดต่อยอดจากสิ่งที่ AI นำเสนอ นำผลลัพธ์ที่ได้ไปคิดต่อ ลองตั้งโจทย์ให้ตัวเองทำงานบางชิ้นโดยไม่พึ่งพา AI เพื่อให้แน่ใจว่าทักษะสำคัญเหล่านี้ยังไม่หายไป
ท้ายที่สุดแล้ว การใช้ AI ให้แตกต่างในยุคที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้นั้น ไม่ได้อยู่ที่ความสามารถในการใช้ AI ให้เก่ง แต่อยู่ที่การใช้ให้ฉลาดและรู้เท่าทัน โดยให้เทคโนโลยีเป็นส่วนเสริมประสิทธิภาพควบคู่กันไปกับความคิดสร้างสรรค์และทักษะการคิดวิเคราะห์ เพื่อให้เราสามารถเติบโตไปพร้อมกับเทคโนโลยีได้อย่างเต็มศักยภาพยิ่งขึ้น