นายกฯ มอบบัตรปชช.คนไทยให้กลุ่มชาติพันธุ์เชียงราย ย้ำมีสิทธิรับบริการจากภาครัฐอย่างเสมอภาคและมีศักดิ์ศรี
นายกรัฐมนตรี มอบบัตรปชช.คนไทยให้กลุ่มชาติพันธุ์เชียงราย ขอบคุณร่วมกันพัฒนาชาติไทย ย้ำมีสิทธิรับบริการจากภาครัฐอย่างเสมอภาคและมีศักดิ์ศรี
วันนี้ (28 มิ.ย.68) เวลา 13.20 น.ที่โรงเรียนแม่จันวิทยาคม อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พบปะกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับสัญชาติไทย ตามมติคณะรัฐมนตรีเรื่องการให้สัญชาติกับกลุ่มชาติพันธ์ุที่มีหลักเกณฑ์ครบถ้วนตามกฎระเบียบของกระทรวงมหาดไทยโดยมีนางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอัครา พรหมเผ่า และนาย อิทธิ ศิริลัทธยากรรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมด้วย
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้รับฟังรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานแก้ไขปัญหาสถานะบุคคลและบุคคลไร้รัฐจากกรมการปกครอง โดยมีการชี้แจงว่ารัฐบาลได้เร่งรัดการแก้ไขปัญหาให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ บุคคลที่อพยพเข้ามาในราชอาณาจักรก่อนปี พ.ศ. 2542 ซึ่งได้มีการจัดทำทะเบียนประวัติไว้แล้ว จำนวน 340,101 คน และบุตรของบุคคลกลุ่มดังกล่าวอีก 143,525 คน
โดยผู้ที่เข้าข่ายสามารถยื่นขอแก้ไขสถานะได้ต้องเป็นชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่เคยได้รับการจัดทำทะเบียนประวัติไว้แล้ว หรือผ่านการสำรวจเพิ่มเติมระหว่างปี พ.ศ. 2548–2554 รวมถึงผู้ที่ตกหล่นจากการสำรวจภายในปี พ.ศ. 2554 โดยผู้ยื่นต้องมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด อาทิ พำนักอยู่ในประเทศไทยต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 15 ปี ไม่มีสัญชาติอื่น มีเลขประจำตัว 13 หลัก และมีความประพฤติดี
สำหรับการยื่นคำร้อง ผู้มีภูมิลำเนาในกรุงเทพมหานคร สามารถยื่นคำร้อง ต่อผู้อำนวยการ สำนักกิจการความมั่นคงภายใน ที่กรมการปกครอง ส่วนในส่วนภูมิภาคหรือจังหวัดต่าง ๆ สามารถยื่นคำร้อง ต่อนายอำเภอ ณ ที่ว่าการอำเภอ โดยต้องใช้เอกสารประกอบ ได้แก่ สำเนาทะเบียนบ้าน/ทะเบียนประวัติ และบัตรประจำตัวที่มีเลขประจำตัว 13 หลัก
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ติดตามและรับทราบ Timeline การดำเนินงานที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง อาทิ การประชุมร่วมระหว่างรัฐบาล กรมการปกครอง และสภาความมั่นคงแห่งชาติในต้นเดือนกรกฎาคม 2567 เพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขอย่างเป็นระบบ การประกาศนโยบายลดขั้นตอนเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2567 ซึ่งได้ลดระยะเวลาพิจารณาจาก 270 วัน เหลือเพียง 5 วัน รวมถึงการเห็นชอบหลักเกณฑ์ใหม่ของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ที่มอบอำนาจให้นายอำเภอพิจารณาอนุมัติได้โดยตรง
ต่อมา เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมลงนามในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้สถานะคนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายและมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรไทย ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และประกาศดังกล่าวได้เผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบบัตรประชาชนให้กับผู้ได้รับสัญชาติไทย พร้อมกล่าวว่าวันนี้รู้สึกดีใจและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสมาพบกับทุกคนอีกครั้ง และมาประกาศข่าวดีที่สำคัญ คือ พี่น้องทุกคนมีสิทธิที่จะยื่นขอรับรองสถานะเพื่อให้ได้รับบัตรประจำตัวประชาชน และได้รับสิทธิในฐานะคนไทยอย่างเสมอภาค และร่วมกันพัฒนาชาติไทย
“จำได้ว่าเมื่อประมาณ 3 ปีก่อน เคยลงพื้นที่พบพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ และได้รับฟังเรื่องราวความเดือดร้อนที่ไม่มีบัตรประชาชน ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานและสวัสดิการของรัฐได้ วันนั้นดิฉันฟังแล้วรู้สึกสะเทือนใจมาก และตั้งใจไว้ว่าจะผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม จนเป็นผลสำเร็จในวันนี้ “นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรีย้ำว่ารัฐบาลได้ดำเนินนโยบายเพื่อแก้ปัญหาให้กับพี่น้องมาอย่างต่อเนื่อง มีการลดขั้นตอน ลดระยะเวลาการพิจารณาเหลือเพียง 5 วัน จากเดิมที่ต้องรอเป็นเวลานาน ซึ่งขณะนี้เรื่องดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว และกำลังจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 30 มิถุนายนนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า อยากเห็นพี่น้องสามารถเดินทางได้อย่างมั่นใจ มีบัตรประชาชน มีสิทธิในการรับบริการจากรัฐ และได้รับการยอมรับในฐานะประชาชนของประเทศนี้อย่างเสมอภาคและมีศักดิ์ศรี
ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจ นายกรัฐมนตรีได้ร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกับประชาชนในพื้นที่ ท่ามกลางบรรยากาศเป็นกันเอง ประชาชนต่างร่วมแสดงความขอบคุณ และกล่าวให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี โดยมีประชาชนจำนวนมากมายืนรอต้อนรับ ส่งรอยยิ้ม และโบกมืออำลาอย่างอบอุ่น ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร