กัณวีร์เสนอไทยชิงการนำสงครามมนุษยธรรมกับกัมพูชา ด้วยการแก้ปัญหาผู้ลี้ภัยเมียนมาให้เป็นรูปธรรม
วันนี้ (3 สิงหาคม) กัณวีร์ สืบแสง สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุว่า เปรียบเสมือน ‘สงครามมนุษยธรรม’ ที่สาดโคลนกันว่า ใครทำผิดมนุษยธรรมระหว่างการปฏิบัติการทางทหาร ขอแนะนำให้ไทยต้องทำให้คำว่า ‘มนุษยธรรม’ จับต้องได้ เพื่อแสดงว่าไทยเราให้ความสำคัญสูงสุดเรื่องมนุษยธรรม ไม่ใช่กล่าวอ้างลอยๆ เหมือนคนอื่น
“สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้คนพูดกันมากถึงคำว่ามนุษยธรรม ต่างฝ่ายต่างพูดว่าอีกฝ่ายไม่เคารพกฎหมายระหว่างประเทศ และจารีตประเพณีปฏิบัติระหว่างประเทศด้านมนุษยธรรม รวมทั้งปฏิบัติการทางทหารที่ไร้ซึ่งมนุษยธรรม คนทั่วโลกจับจ้องกันอยู่ว่าใครสามารถนำคำว่า ‘มนุษยธรรม’ ซึ่งดูแล้วเป็นนามธรรมจับต้องยาก มาทำให้เป็นรูปธรรมได้ จะทำให้ได้รับแรงสนับสนุนจากประชาคมโลกได้อย่างดี”
กัณวีร์เชื่อว่า ในตอนนี้ชาวโลกกำลังมองว่าไม่ว่าจะเป็นไทย หรือกัมพูชา เวลาพูดว่า อีกฝ่ายผิดหลักมนุษยธรรม ก็เหมือนกับการสาดโคลนกันไปมาแล้ว เพราะทั้งคู่ยังไม่สามารถทำให้คำพูดตัวเองในเวทีโลกถูกจับต้องได้ ไทยอาจถูกหรือผิด หรือกัมพูชาอาจผิดหรือถูกก็ได้
“นี่คือความรู้สึกของประชาคมโลก เพราะส่วนมากไม่รู้จักไทยและกัมพูชาดีมากนัก เต็มที่เขาก็บอกว่าทั้ง 2 ประเทศ ก็เหมือนกันนั่นแหละ ผมเสนอให้ประเทศไทย ทำสิ่งที่เรียกว่ามนุษยธรรมที่เป็นนามธรรม ให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ และส่งผลให้คนที่ได้รับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในบ้านเราสามารถหาการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืนได้ทันที ส่วนกัมพูชาก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขา”
กัณวีร์ย้ำว่า เสนอให้ไทยจับประเด็นที่มีความเกี่ยวเนื่องกับประเทศใหญ่ๆ ในไทยที่ประเทศผู้สังเกตการณ์ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกามีความเกี่ยวเนื่องด้วยกับสถานการณ์มนุษยธรรมในไทย คือ เรื่องผู้ลี้ภัยจากเมียนมาในไทย 81,000 คน ที่อยู่ในพื้นที่พักพิงฯ ทั้ง 9 แห่ง ใน 4 จังหวัดของไทย ที่สหรัฐฯ ได้ให้เงินช่วยเหลือมา 41 ปี แต่เพิ่งยุติการสนับสนุนงบประมาณเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา และทำให้สถานการณ์มนุษยธรรมในค่ายจะเลวร้ายและมีผลกระทบกับไทยในอนาคตอันใกล้
“ลองคิดดูว่า หากเราเปลี่ยนภาระ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ ที่ให้เงินชุบเลี้ยงค่ายทั้ง 9 แห่งมา 4 ทศวรรษ และอยู่ดีๆ ก็ตัดเงินสนับสนุนเสีย และภาระนี้จะตกมาอยู่กับประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ไทยสามารถพลิกภาระนี้ให้เป็นพลังได้ โดยไม่ต้องง้อเงินสนับสนุนส่วนมากจากสหรัฐฯ และบริหารจัดการปัญหามนุษยธรรมนี้ให้เป็นพลังในการร่วมพัฒนาประเทศ โดยไม่พึ่งใคร และยึดกับหลักการมนุษยธรรมอย่างเข้มข้นในการแก้ไขปัญหา ชาวโลกจะเห็นว่าเราต่างจากกัมพูชา เหมือนฟ้ากับเหว” กัณวีร์กล่าว
กัณวีร์ระบุว่า คิดดูประชาคมโลกจะเชื่อใครในสงครามมนุษยธรรมสาดโคลนกันไปมาที่มีอยู่ระหว่างไทยกับกัมพูชาในขณะนี้ ถ้าเอาผู้ลี้ภัย 81,000 มาร่วมพัฒนาประเทศโดยการทดแทนแรงงานที่ขาดหาย ไม่ว่าจะเป็นแรงงาน MOU จากเมียนมาที่ชะงักลง และจากกัมพูชาซึ่งไม่สามารถมาทำงานในไทยได้อีกในระยะยาว แล้วให้พวกเขามาทดแทนงานที่คนไทยไม่ทำ และขาดแคลนมากกว่า 3-4 แสนตำแหน่ง จ่ายภาษีให้รัฐ ซื้อประกันสุขภาพและประกันสังคมเอง จ่ายค่าศึกษาให้บุตรเอง และทำทุกอย่างด้วยตัวเอง จากภาระก็จะเป็นพลัง แถมมาช่วยพัฒนาไทยไปพร้อมๆ กันอีก
“แล้วประกาศเลยว่า เห็นไหมไทยเรายึดมั่นกับคำว่ามนุษยธรรมอย่างไร ไม่ใช่คำพูดลอยๆ บิดเบือนเหมือนคนอื่น หาคนมาสนับสนุนในประชาคมโลกได้ทันทีและมากมายอย่างแน่นอน ลองคิดดูเวทีโลกจะเชื่อใครระหว่างไทยกับกัมพูชา โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ก็จะเข้าใจเองว่า คุณตัดงบทั่วโลกและกระทบไทย คุณเป็นคนทำเองนะ แต่ไทยเราแก้ไขโดยยึดมั่นหลักการมนุษยธรรม สุดท้ายเขาจะเชื่อใคร”
กัณวีร์กล่าวว่า การเมืองระหว่างประเทศ เป็นเรื่องการล็อบบี้ โดยการสร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาให้ประเทศประเทศหนึ่งให้มีแรงสนับสนุนจากประชาคมโลกให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เราต้องหาเพื่อนให้มากและเร็วที่สุด อย่าทำตัวอยู่เดียวดายเหมือนเราเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาลให้คนอื่นๆ หมุนรอบตัวเราและเป็นเพื่อนกันหมด แต่ศูนย์กลางจักรวาลนี้ ก็จะไม่มีคนคบและถูกทอดทิ้งในที่สุดนั่นเอง