ถอดรหัสความรัก ชีวิต และความเป็นมนุษย์ ผ่านแฟชันโชว์โอตกูตูร์ของ Rahul Mishra
ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นฤดูกาลสำคัญของโลกแฟชัน เหล่าแบรนด์ดังมากมายต่างทยอยออกคอลเลกชันสำหรับช่วงฤดูใบไม้ร่วง นอกจากคอลเลกชันทั่วไปที่ออกมาในช่วงนี้แล้ว อีกหนึ่งอีเวนต์สำคัญและเป็นงานที่คอแฟชันต่างจับจ้องมากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้น สัปดาห์ปารีสโอตกูตูร์ (Paris Haute Couture Week) กับรันเวย์ที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่ตัดเย็บอย่างประณีตและสง่างาม
ทั้งนี้ ก็ใช่ว่าใครจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งของแฟชันโชว์ชั้นสูงนี้ได้ เพราะมันก็มีเงื่อนไขอีกยิบย่อย ซึ่งถูกกำหนดโดย Fédération de la Haute Couture et de la Mode (FHCM) และ Chambre Syndicale de la Haute Couture ในการคัดเลือกแบรนด์และดีไซเนอร์ผู้มีสิทธิ์จะขึ้นโชว์ในงาน
โดยในปีนี้ ราอุล มิสชรา (Rahul Mishra) ดีไซเนอร์ชาวอินเดียเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าในชื่อตนเอง ถือเป็นดีไซเนอร์คนหนึ่งที่โดดเด่นและน่าจับตามองเป็นอย่างมากในสัปดาห์ปารีสโอตกูตูร์ครั้งนี้ เพราะเขาคือนักออกแบบชาวอินเดียคนแรกที่ได้ขึ้นแสดงในสัปดาห์ปารีสโอตกูตูร์เมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา
การกลับมาในฤดูกาลนี้ เขาก็ได้หอบเอาคอนเซปต์อันชวนให้เย้ายวนใจอย่าง “ความรัก” มาเป็นแนวคิดหลักในการนำเสนอคอลเลกชัน ภายใต้ชื่อ “Becoming Love” เพื่อสะท้อนนิยามของความรักในหลายมิติ ผ่านงานฝีมือระดับโอตกูตูร์ที่ทั้งสวยงามและเปี่ยมความหมาย
วันนี้เราจึงอยากพาทุกคนไปส่องเบื้องลึกเบื้องหลังของงานออกแบบในคอลเลกชันของราอุล มิสชรา ประจำปารีสโอตกูตูร์ฤดูกาลนี้กัน ว่าภายใต้ผืนผ้าสุดประณีตเหล่านี้เขาซ่อนอะไรไว้อยู่เบื้องหลังบ้าง
ความรักที่ถูกถ่ายทอดผ่านคอลเลกชันของราอุล มิสชรา
บ่อยครั้งที่ความรักถูกนำมาใช้เป็นคอนเซปต์สำหรับงานออกแบบในแวดวงแฟชัน เพราะมันถือเป็นอีกหนึ่งอารมณ์ความรู้สึกที่สามารถสะท้อนตัวตนและความเป็นมนุษย์เราออกมาได้อย่างชัดเจน
ราอุล มิสชรา เองก็เช่นกัน เขาเลือกใช้ความรักมาเป็นแนวคิดหลัก สำหรับสร้างสรรค์คอลเลกชันสุดประณีตในสัปดาห์ปารีสโอตกูตูร์ โดยหยิบเอาแนวคิดเรื่องความรักจากซูฟี (Sufism) ซึ่งได้ตีความความรักออกเป็น 7 ขั้น ได้แก่ ความดึงดูดใจ ความหลงใหล ความรัก ความเชื่อมั่น หรือความเคารพ การบูชา ความบ้าคลั่ง และความตาย
ถ้าอธิบายให้เข้าใจง่าย แนวคิดของซูฟี มองว่าความรักไม่ใช่เพียงอารมณ์ชั่ววูบ แต่เป็นการเดินทางทางจิตวิญญาณอันลึกซึ้ง เพื่อให้ในท้ายสุดเราจะปรากฏตัวขึ้นมาในฐานะสิ่งมีชีวิตใหม่ หรือก็คือความตายของชีวิตเก่า หากมองตามแนวคิดดังกล่าว ความรักก็เปรียบเสมือนดักแด้ที่ช่วยให้เราออกมาจากดักแด้ในฐานะสิ่งมีชีวิตใหม่อย่างผีเสื้อนั่นเอง
เสื้อผ้าหลากหลายชิ้นจากคอลเลกชันนี้ จึงเต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวและความหมายอันแสนลึกซึ้งของความรัก ไม่ว่าจะเป็นลุคเปิดงาน ชุดเดรสสีทองอร่ามประดับประดาด้วยลวดลาย ตัวชุดที่หมุนเวียนเป็นรูปหัวใจ ซึ่งกำลังดึงดูดความสนใจจากเราในฐานะขั้นแรกของความรัก หรือกระทั่งลุคปิดท้าย กับชุดเดรสสีดำรูปหัวใจ สะท้อนถึงการตีความหมายในเรื่องความตายและความรักภายใต้แนวคิดของซูฟี
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า สำหรับราอุล มิสชรา ความรักไม่ได้เป็นเพียงแรงบันดาลใจที่สวยงามเท่านั้น หากแต่เป็นเส้นทางแห่งการค้นหาตัวตน ผ่านการตัดเย็บที่บรรจงสร้างให้กลายเป็นผืนผ้าที่ไปเปี่ยมด้วยอารมณ์ ความรู้สึก และความเป็นมนุษย์
ศิลปะ ความรัก และแฟชัน
หลายคนที่เป็นตัวตึงวงการศิลปะ หลังจากรับชมแฟชันโชว์ครั้งนี้ไปแล้ว ก็อาจสะดุดตากับหลากหลายชุดในคอลเลกชันที่คุ้นตากันเป็นอย่างดี เหมือนเคยเห็นที่ไหนสักแห่งมาก่อน
หากกำลังคิดถึงเกี่ยวกับผลงานทางศิลปะอยู่ คุณมาถูกทางแล้ว เพราะอีกหนึ่งแรงบันดาลใจสำคัญในคอลเลกชันนี้ของราอุล มิสชรา ก็คือ ผลงานศิลปะของ กุสตาฟ คลิมท์ (Gustav Klimt) ศิลปินหัวขบถชาวออสเตรีย ผู้สร้างสรรค์ผลงานอันเป็นที่น่าจดจำเอาไว้มากมาย อาทิ The Kiss, Portrait of Adele Bloch-Bauer I และ The Tree of Life
กุสตาฟ คลิมท์ คือหนึ่งในบุคคลสำคัญของขบวนการ อาร์ตนูโว (Art Nouveau) และเป็นผู้นำของกลุ่ม เวียนนาเซเซสชัน (Vienna Secession) ซึ่งเป็นกลุ่มศิลปินที่ปฏิเสธขนบธรรมเนียมทางศิลปะแบบเก่าๆ และมุ่งเน้นการสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนถึงอารมณ์ความรู้สึกและความงามในรูปแบบใหม่ๆ หัวใจสำคัญในงานของคลิมท์ คือการสำรวจเกี่ยวกับความรัก, ความตาย, การเกิด, และสตรีเพศ
มิสชราจึงได้หยิบเอาเสน่ห์เย้ายวนอันเป็นเอกลักษณ์ในผลงานของคลิมท์ มาถ่ายทอดผ่านงานฝีมือโบราณของอินเดีย โดยใช้เทคนิคการปักผ้าดั้งเดิม อย่าง อารี ซาร์โดซี นาคชี ดาบกา และฟารีชา ผสมผสานกับสไตล์ร่วมสมัย พร้อมด้วยการตกแต่งเพิ่มเติมด้วยลูกปัด ไข่มุกน้ำจืด กุนดัน ซัลลี และเลื่อม ซึ่งทอลงบนผ้าไหมออร์แกนซ่า ผ้าทูล กำมะหยี่ และผ้าซาติน
เพราะสำหรับมิชรา แฟชั่นจึงเปรียบเสมือนบทสนทนาระหว่างอดีตและอนาคต นักออกแบบเช่นเขา จึงทำหน้าที่เป็นผู้เชื่อมโยงระหว่างทักษะและเทคนิคการตัดเย็บแบบดั้งเดิม ให้เข้ากับแนวคิดและคอนเซปต์ร่วมสมัย
ทั้งปรัชญาของซูฟีและมุมมองทางศิลปะของคลิมท์ ต่างช่วยเติมให้คอลเลกชันนี้ของมิชราเต็มไปด้วยเรื่องราวและจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ ซึ่งถูกอธิบายเอาไว้ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า “ความรัก” อันเป็นความรู้สึกพื้นฐานสำคัญของมนุษย์
แล้วทุกคนล่ะ คิดว่าความรักคืออะไรกัน ใช่สิ่งเดียวกับที่ราอุล มิสชรา นำเสนอมาหรือเปล่า?
อ้างอิงจาก