หนูร้องหาเสียงขับกล่อม ใช่เสียงกระสุนปืน “Pan’s Labyrinth” ยอดวรรณกรรมดาร์กแฟนตาซี
“โอเฟเลียไม่ได้เตือนแม่ว่าสำหรับเธอแล้ว ไม่มีอะไรดีไปกว่าหนังสือ แต่แม่คงไม่มีวันเข้าใจ แม่ไม่เคยใช้หนังสือเป็นที่พักใจ หรือปล่อยให้มันพาเธอไปยังอีกโลกหนึ่ง เธอมองเห็นแต่โลกใบนี้ ความน่าเศร้าอย่างหนึ่งของแม่คือปล่อยให้ตัวเองยึดติดกับโลกนี้
“หนังสือสามารถบอกอะไรแม่ได้หลายอย่างเกี่ยวกับโลกและสถานที่อื่นซึ่งอยู่ไกลออกไป ทั้งสรรพสัตว์ พืชพรรณนานาชนิด และดวงดาว หนังสือเป็นได้ทั้งหน้าต่างและประตู เป็นปีกกระดาษที่จะพาเธอโบยบินไป แต่แม่ลืมวิธีบินไปแล้ว หรืออาจไม่เคยเรียนรู้ที่จะบินมาก่อนเลย”
สารภาพตามตรงว่าผู้เขียนไม่เคยอ่านหนังสือที่อัดแน่นไปด้วยจินตนาการ และพ่วงพาความดำดิ่งมาให้จนท่วมท้นเช่นนี้มาก่อน แม้ตัวดำเนินเรื่องจะเป็นเด็กผู้หญิงอายุไม่กี่ขวบ แต่นี่เป็นนิทานสำหรับผู้ใหญ่อย่างแท้จริง
ปี 1944 ณ ประเทศสเปนที่อยู่ภายใต้การปกครองของนายพลฟรังโก สงครามยังคงทิ้งไอร้อนระอุ ทั้งร่องรอยความรุนแรงและการไล่ปราบฝ่ายต่อต้านยังไม่จางลง คนชนชั้นสามัญต่างพร่ำภาวนาหวังให้ทุกสิ่งดีขึ้น ใช่แค่ความเป็นอยู่ของพวกเขา แต่เมล็ดพันธุ์ที่กำลังรอวันผลิดอกอย่างเด็กๆ ควรจะได้มีวัยเยาว์ที่งอกเงย เติบโตท่ามกลางบ้านเมืองสงบสุข มีสายตาเอ็นดูของคนรุ่นก่อน ถูกลูบหัวอย่างอ่อนโยน ทว่าคำภาวนายังไม่เป็นผล และอาจไม่ดังพอให้พระเจ้าได้ยินจนส่งพรกลับมา
“โอเฟเลีย” เด็กหญิงผมสั้น หน้าตาจิ้มลิ้ม อ้อมแขนไม่เคยว่างด้วยกองหนังสือ เธอกำลังออกแล่นบนถนนสายหนึ่ง จำต้องจากบ้านที่เคยมีพ่ออยู่ พ่อที่เคยเย็บถักปกหนังสือให้ เฝ้าห่อหุ้มสิ่งที่เธอรักนักหนา พ่อไม่อยู่แล้ว หนังสือเริ่มทิ้งชายรุ่ย รอยยิ้มของโอเฟเลียค่อยๆ พร่าเลือน เธอไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงได้ถ่อมาไกลขนาดนี้เพื่อหมาป่าตัวหนึ่ง ในสายตาเธอ “บิดัล” เป็นหมาป่า แต่แม่กลับมีดวงตาสุกใสเมื่อได้พบเขา ราวกับถูกบังตาว่าคนตรงหน้าเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาว ทั้งที่เขี้ยวยาวแทงออกมาจากปากอยู่เห็นๆ
และแน่นอนบิดัลไม่ได้รักแม่ บิดัลรักเด็กที่อยู่ในท้องแม่
“อยากให้ฉันตามเธอไปเหรอ ข้างนอกน่ะเหรอ ที่ไหน” ยามค่ำคืนหนึ่ง โอเฟเลียกำลังสนทนากับภูตแมลงในบ้านหลังใหม่ เธอก้าวเท้าตามรอยบินของมันไปยังเขาวงกต และได้พบเข้ากับสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมา ดวงตายกแหลมคล้ายแมว ปลายคางปกคลุมด้วยเครารุงรังคล้ายแพะ ผิวถูกเกาะด้วยเปลือกไม้
“ฟอน” เขาขานนามตัวเองออกมา “พระองค์คือเจ้าหญิงโมอานนา” นิ้วมือยาวกว่าดินสอเหยียดออก เชิดใบหน้าของโอเฟเลียขึ้น ประชากรในเมืองเฝ้ารอให้เจ้าหญิงกลับมา โดยไม่อาจนับได้ว่านี่เป็นทศวรรษที่เท่าไหร่ แต่โอเฟเลียต้องทำภารกิจให้สำเร็จก่อนวันพระจันทร์เต็มดวง เพื่อพิสูจน์ว่าวิญญาณของเธอไม่ได้แปรเปลี่ยนเป็นมนุษย์ไปเสียแล้ว
ระหว่างที่โอเฟเลียกระโดดโลดอยู่ในภารกิจที่เสี่ยงอันตรายของตัวเอง เผชิญกับสัตว์ประหลาด แม่ของเธอกำลังอาการทรุดหนักลง ได้แต่นอนอยู่บนเตียงท่าเดิม และต้องใช้มือบังคับรถเข็นทุกครั้งที่ลืมตาขึ้น
ท่ามกลางเสียงปืน ควันไฟมอดขึ้นกลางอากาศ และเศษระเบิดทิ้งลงพื้น บิดัลกำลังบ้าระห่ำกับการไล่ล่าฝ่ายซ้าย ไม่ใช่แค่คำสั่งจากรัฐบาลที่เขาได้รับมา แต่คำปลูกฝังจากผู้เป็นพ่อที่หนักอึ้งบนบ่า ความเป็นผู้นำสำหรับเขาแล้ว ไม่ต้องการให้ใครเคารพ ที่ถูกต้องคือทุกคนต้องยอมจำนนต่างหาก กระทั่งแม่ของโอเฟเลียก็ไม่เคยได้อ้อมกอดหรือไออุ่นแม้แต่นิดจากเขา อย่าได้พูดถึงโอเฟเลียเลย
ความเป็นจริงอันโหดร้ายบีบบังคับให้โอเฟเลียไม่อยากเป็นแค่เด็กผู้หญิงที่ตกใต้อำนาจของหมาป่า เธอไม่อยากเป็นเหมือนแม่ ต่อให้เธอจะรักแม่ก็ตาม โอเฟเลียถึงได้พยายามทำภารกิจที่ฟอนมอบให้ ตะกุยทางด้วยความหวังเดียวที่ฟอนวาดขึ้น เมื่อถึงวันพระจันทร์เต็มดวง โอเฟเลียจะได้นั่งสง่าผ่าเผยอยู่บนบัลลังก์ ล้อมรอบด้วยทุ่งดอกไม้ที่มีเกสรเป็นดวงอาทิตย์ในอาณาจักรเขาวงกตของเธอ
แม้ต้องเอาชีวิตให้รอดจากไอ้ซีด อสุรกายที่ล่อลวงเด็กไร้เดียงสา ต่ออายุขัยตัวเองด้วยการเขมือบลูกตามนุษย์ โอเฟเลียก็ยอม แต่ในฤดูฝนกลางกระสุนพันนัดสวนกลับกันไปมาเช่นนี้ บาดแผลเล็กๆ ที่มีเลือดออกเพียงหยดเดียว อาจหมายถึงความตายมาเยือนอยู่ตรงหน้าแล้ว และแม้แต่ผู้เยียวยาก็ยังถูกความมืดของสงครามหล่อหลอมให้กลายเป็นเพชฌฆาตได้ไม่ยากเย็น
ไม่แปลกเลยที่พวกผู้ใหญ่ไม่อาจเชื่อได้ลงว่าเวทมนตร์มีอยู่จริง เพราะพวกเขาต้องเป็นผู้ถือดาบบังตัวเด็ก กระโจนเข้ารับอันตรายที่ด่านหน้า
สงครามพรากความหวังและพรากวัยเยาว์ไปจากเรา ทั้งที่เราควรได้เต้นระบำเป็นวงกลม ร้องเพลงเฉลิมฉลอง จูงมือกันวิ่งเล่นไปข้างหน้า ไม่ใช่วิ่งหนี
“Pan’s Labyrinth” หรือ “เขาวงกตแห่งเทพารักษ์” เป็นหนังสือวรรณกรรมเลื่องชื่อของ “Guillermo Del Toro” ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เมื่อปี 2006 บอกเล่าถึงความโหดร้ายที่มนุษย์ทิ่มแทงกันเอง วิ่งไล่ช่วงชิงอำนาจ ใฝ่หาถึงสิ่งที่ไม่อาจกอดเก็บไว้กับตัวจนถาวร แม้ต้องแลกมาซึ่งความเจ็บปวด และความสูญเสีย อาจกล่าวได้ว่าผู้สร้างสงครามตาบอดมืด มองไม่เห็นอะไร นอกจากตัวเอง
บัลลังก์สูงสุดไม่เคยมีใครปีนขึ้นไปถึง หรือหากได้นั่งประทับลงก็คงไม่ยาวนานนัก
เหตุผลนานับประการที่สงครามไม่ควรเกิด และไม่มีเหตุผลไหนเลยที่สงครามควรจะเกิด เมื่อหน้ากระดาษสุดท้ายของ Pan’s Labyrinth ถูกปิดลง โลกแห่งความเป็นจริงที่ปรากฏขึ้นอยู่ ณ เวลานี้ ทำให้ผู้เขียนอดคิดถึงโอเฟเลีย เด็กหญิงที่หลบหนีตัวเองเข้าไปอยู่ในโลกเวทมนตร์ไม่ได้เลย และอดเชื่อไม่ได้เช่นกันว่าเวทมนตร์มีอยู่จริง