SCL รุกขยายตลาดรถอีวี อะไหล่ทดแทนมาร์จิ้นดี
#SCL #ทันหุ้น – SCL ชี้แนวโน้มผลงานไตรมาส 3/2568 ดีกว่าไตรมาส 2/2568 เล็งขยายตลาดกลุ่มอะไหล่รถยนต์ EV พร้อมปรับระบบโลจิสติกส์หนุนขนส่งดีขึ้น แย้มความต้องการอะไหล่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง สบช่องเพิ่มแบรนด์ใหม่-โปรดักต์ใหม่ทุกไตรมาส พบอะไหล่ทดแทนทำกำไรสูงสุด กวาดมาร์จิ้นเฉลี่ย 20%
นายสกล ตั้งก่อสกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท เอส.ซี.แอล. มอเตอร์ พาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SCL ผู้นำศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์อะไหล่รถยนต์ที่ครอบคลุมค่ายรถยนต์ชั้นนำในประเทศไทย เปิดเผยกับ “ทันหุ้น” ว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/2568 คาดว่าจะเติบโตขึ้นมากกว่าไตรมาส 2/2568 เนื่องจากในครึ่งปีแรกบริษัทได้มีการปรับปรุงโปรแกรมหลังบ้านพอสมควร เป็นโปรแกรม WMS หรือระบบการจัดการคลังสินค้า ที่เกี่ยวกับโลจิสติกส์หลังบ้านเพื่อให้การขนส่งสินค้าดีขึ้น ส่งผลให้เริ่มเห็นการเติบโตอย่างชัดเจน
@อุตสาหกรรมยังเติบโต
ทั้งนี้ในภาพรวมตลาดอุปกรณ์รถยนต์ ซึ่งบริษัทพึ่งพาประชากรรถยนต์กว่า 21.3 ล้านคัน และกว่า 70% ของรถยนต์เหล่านี้ มีอายุมากกว่า 5 ปี ซึ่งทำให้ความต้องการอะไหล่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทมีการเพิ่มแบรนด์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และ SKU ใหม่ๆ เข้ามาในตลาด ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาทุกไตรมาสผลิตภัณฑ์ที่ทำกำไรสูงสุดคือ อะไหล่ทดแทน มีอัตรากำไรเฉลี่ยประมาณ 20% ดีกว่าสินค้าปกติ
สำหรับครึ่งปีหลัง SCL วางเป้าหมายเร่งขยายตลาดในกลุ่มอะไหล่รถยนต์ EV และพัฒนาสินค้า House Brand เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว พร้อมรักษาเป้ารายได้ปี 2568 ที่ 2 พันล้านบาท เติบโตกว่า 15% จากปีก่อน ตามแผนที่วางไว้
@อะไหล่เป็นสินค้าจำเป็น
ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังชะลอตัวอยู่ GDP ของไทยในไตรมาส 2/2568 เติบโต 2.8% เติบโตมากกว่าเกินคาด และมองว่า GDP ทั้งปีจะเติบโตประมาณ 2% ซึ่งสนับสนุนโอกาสในการบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่วางไว้ ในช่วงที่กำลังซื้อในประเทศที่ลดลง สินค้าของบริษัทถือเป็นปัจจัยจำเป็น เพราะผู้คนยังต้องใช้รถยนต์และเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้ไม่สามารถซื้อรถใหม่ได้ จำเป็นต้องดูแลรักษารถคันเดิม
อย่างไรก็ดีรูปแบบธุรกิจของบริษัท คือ การกระจายสินค้าไปยังลูกค้ารายย่อยประมาณ 1,900 รายทั่วประเทศ แม้ไม่ได้มีหน้าร้านเป็นของตัวเอง ประกอบกับตลาด Fast-Fit (ศูนย์บริการด่วน) มีการแข่งขันและขยายสาขามากขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มฐานลูกค้าให้กับบริษัท
อีกทั้งยังมีช่องทางการขายออนไลน์ (E-commerce) และกำลังปรับปรุงรูปแบบแพลตฟอร์มให้ทันสมัยและเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ปรับปรุงใหม่นี้จะกลายเป็น หนึ่งในกลไกสำคัญในการหนุนการเติบโตในอนาคต โดยตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนยอดขายจากช่องทางออนไลน์ให้ได้ถึง 10% จากปัจจุบันที่มีเพียงประมาณ 2-3% ของยอดขายทั้งหมด ช่องทางออนไลน์ไม่ได้ช่วยลดต้นทุนโดยตรงแต่จะช่วยเพิ่มกำไรให้ดีขึ้น
ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 2/2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ 11.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการขาย 450.93 ล้านบาท เติบโตเล็กน้อย 0.87% แต่ยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นและการดำเนินงานได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะยอดขายในกลุ่มอะไหล่ทดแทน (Replacement Parts) ที่เติบโตตามความต้องการของผู้ใช้รถที่หันมาซ่อมบำรุงรถคันเดิม ท่ามกลางภาวะสินเชื่อรถใหม่ที่ยังคงเข้มงวด