KK พัฒนาหน้าร้าน เดินหน้าขายออนไลน์
#KK #ทันหุ้น – KK ปรับกลยุทธ์ครึ่งปีหลัง เพิ่มสินค้ากลุ่มอุปโภคบริโภค พร้อมชะลอแผนเปิดสาขาใหม่ 2แห่ง หันมาโฟกัสพัฒนาหน้าร้านเดิม เดินหน้ารุกตลาดออนไลน์ ศึกษาแพลตฟอร์ม TikTokอัพยอดขาย
นายกวิศพงษ์ สิริธนนนท์สกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท เคแอนด์เค ซุปเปอร์สโตร์ เซาท์เทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ KK เปิดเผยกับ “ทันหุ้น” ว่า บริษัทเลือกวางกลยุทธ์เชิงอนุรักษ์นิยมในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเน้นยกระดับคุณภาพร้านให้สะอาด สวยงาม และเพิ่มความครบถ้วนของสินค้าในกลุ่มอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นจุดแข็งหลักของบริษัท ทั้งยาสีฟัน แชมพู ผงซักฟอก ไปจนถึงอาหารแห้งและนมผง โดยยืนยันจะยังไม่รุกตลาดอาหารสดที่ไม่ใช่ความถนัด เพื่อรักษาประสิทธิภาพการบริหารจัดการ
@ ชะลอเปิดสาขา
แม้ปีนี้จะยังไม่มีสาขาใหม่ แต่บริษัทได้เตรียมพื้นที่เช่า 2 แห่งไว้ล่วงหน้าในย่านใกล้เคียงหาดใหญ่ ซึ่งจะพร้อมเดินหน้าได้ทันทีเมื่อภาวะเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นในปีหน้า ปัจจุบัน KK มีสาขาทั้งหมด 36 สาขา และยังคงมุ่งรักษาสถานะการเงินให้แข็งแรง
สำหรับฐานลูกค้าของ KK ปัจจุบันกว่า 99% เป็นคนไทย และมีลูกค้าชาวมาเลเซียประมาณ 1% เท่านั้น กลยุทธ์การตลาดจึงมุ่งไปที่การสร้างความผูกพันกับผู้บริโภคในประเทศ ด้วยการจัดโปรโมชั่นแรงๆ ต่อเนื่อง รวมถึงสิทธิประโยชน์ของบัตรสมาชิก เช่น การสะสมคะแนน และส่วนลดพิเศษสำหรับสมาชิก เพื่อรักษาฐานลูกค้าและเพิ่มความถี่ในการซื้อ
ด้านช่องทางออนไลน์ KK ได้เข้าสู่แพลตฟอร์ม Shopee และ Lazada มานานกว่า 1 ปีแล้ว และยอดขายก็มีการเติบโตต่อเนื่อง ถือเป็นอีกหนึ่งขาที่ช่วยหนุนรายได้ แม้สัดส่วนยังน้อยเมื่อเทียบกับรายได้จากหน้าร้าน แต่ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
@ ศึกษาเข้าติ๊กต๊อก
ในขณะเดียวกัน บริษัทกำลังศึกษาโอกาสเข้าสู่แพลตฟอร์ม TikTok ซึ่งแม้จะมีค่าใช้จ่ายด้านค่าคอมมิชชั่นสูง แต่ถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพและฐานผู้ใช้งานจำนวนมาก การเพิ่มช่องทางดังกล่าวจะช่วยกระจายความเสี่ยงและเปิดโอกาสให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ได้
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2568 บริษัทมีรายได้จากการขาย 282.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.01% YoY แม้จะอ่อนตัวเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน ขณะที่ต้นทุนขายลดลง ส่งผลให้กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 5.75% QoQ และ 5.47% YoY สะท้อนการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ
บริษัทมีกำไรสุทธิ ไตรมาส2/2568 จำนวน1.63 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันปีก่อนหน้าจำนวน0.43 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 20.89 และสำหรับงวด6 เดือน ปี 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ จำนวน3.68 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันปีก่อนหน้า จำนวน0.48 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ11.50 มีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของบริษัทย่อย
ทั้งนี้SSSG อยู่ที่ 0.77% แม้จะชะลอตัวลงจากปีก่อน แต่ยังเป็นบวกต่อเนื่อง สะท้อนว่าฐานลูกค้ายังคงเหนียวแน่นและร้านเดิมยังมีศักยภาพสร้างรายได้