ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา กับความสับสน ของวงการวิเคราะห์ข่าว
ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย
ประเด็นที่น่าจะนำมาพิจารณาในอันดับต้นๆ ก็คือ การที่คณะนายทหารกัมพูชา นำโดยนายพลซวน สมนัง เดินทางไปเยือนศูนย์บัญชาการอินโดแปซิฟิกของสหรัฐฯ ที่ฮาวาย ก็มีการตีความว่าได้มีการลงนามข้อตกลงเพื่อเข้าร่วมในยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิก ที่มุ่งปิดล้อมจีนทางทหาร ก็เลยมองต่อว่าสหรัฐฯมีแผนจะตั้งฐานทัพในกัมพูชา ถึงขนาดจะเปลี่ยนฐานทัพเรือจีนที่เรียม เป็นฐานทัพเรือสหรัฐฯไปเลย
เรื่องนี้ต้องมาดูประเด็นที่หารือในการร่วมมือสรุปได้ดังนี้
1.การฝึกซ้อมร่วม (Joint Training) การศึกษาทางทหารแบบมืออาชีพ (Professional Military Education)
2.การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (Humanitarian Assistance) จะเห็นได้ว่าไม่มีข้อความใดที่จะเป็นการตกลงกันในกรอบยุทธศาสตร์ทางทหารของสหรัฐฯ ซึ่งขณะนี้มีข้อตกลงกับหลายประเทศ เช่น Quard (อินเดีย ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย สหรัฐฯ) AUKUS (ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร สหรัฐฯ) ANZUS(ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหรัฐฯ) และ FIVE EYES (สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์) อันหลังนี่เป็นความร่วมมือด้านการข่าวทั่วโลก
อนึ่งต้องอย่าไปสับสนกับข้อตกลงทางเศรษฐกิจ IPEF ที่เปิดตัวในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.2022 ที่มีสมาชิก 14 ประเทศโดยไม่มีจีน และมีสมาชิกอาเซียน 7 ประเทศร่วมลงนาม คือ บรูไน อินโดนิเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม และไทย ซึ่งจีนก็ไม่ค่อยพอใจเพราะถือว่า Indo-Pacific Economic Framework For Prosperity มีเจตนากีดกันจีน แต่ในทางปฏิบัติข้อตกลงนี้ก็ไม่มีผลบังคับอะไรที่จะกีดกันการค้ากับจีน ที่สำคัญกัมพูชามิได้เข้าร่วมในตอนนั้น ถ้าจะมาร่วมในตอนนี้ก็ดูไม่ใช่ปัญหาอะไร
ส่วนในอนาคตสหรัฐฯ-กัมพูชา อาจพัฒนาไปสู่ความร่วมมือทางทหารกัน เหมือนโครงการ Angkor Sentinel ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะสหรัฐฯ ต้องการเข้ามามีบทบาทในการคานอำนาจกับจีนในกัมพูชา ซึ่งเคยมีการประสานกันมาก่อนในปีค.ศ.2022 ที่ฮุนเซนได้พบกับโจไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯถึง 2 ครั้ง และถ้ามองในความเป็นจริงกัมพูชาก็คงไม่อยากตกอยู่ภายใต้อำนาจจีนแบบเต็มๆอย่างปัจจุบันนี้
อีกเรื่องที่อยากกล่าวถึง คือ การสร้างข่าวปลอมในโชเซียลมีเดียว่ามีการลงคะแนนในสหประชาชาติที่สนับสนุนไทยหรือกัมพูชา โดยสรุปว่า กลุ่มประเทศรัสเซีย จีน อิหร่าน และเกาหลีเหนือ สนับสนุนกัมพูชา ส่วนสหรัฐฯกับค่ายตะวันตกสนับสนุนไทย เรื่องนี้เป็นเท็จอย่างชัดเจน เพราะไม่มีการประชุมในสมัชชาใหญ่ UNGA เรื่องความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ส่วนการประชุมคณะมนตรีความมั่นคง UNSC นั้นก็เป็นการประชุมกรรมการ 15 ชาติ เท่านั้นรวมทั้ง 5 มหาอำนาจ โดยเพียงแต่รับฟังข้อกล่าวหาของแต่ละฝ่าย และการตอบโต้ ซึ่งไม่ได้มีการลงมติแต่มีข้อแนะนำให้ดำเนินมาตรการทางการทูต ด้วยการเจรจากัน โดยที่มิได้มีเอกสารใดออกมาจาก UNSC เลย
เรื่องนี้อาจมองได้ว่าข่าวดังกล่าวต้องการโปรฝ่ายตะวันตก และสร้างความโกรธแค้นให้คนไทย ซึ่งอาจมีวัตถุประสงค์ที่จะโหนกระแสความรักชาติให้ไทยเออออกับสหรัฐฯ เช่น การมาตั้งฐานทัพในไทย อันเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสถานภาพของไทย
อนึ่งจีนเองก็พยายามแสดงบทบาทตัวกลางเพื่อไกล่เกลี่ยระหว่างไทย-กัมพูชา โดยการจัดประชุมที่เซี่ยงไฮ้ ที่สำคัญจีนก็คงไม่ยอมปล่อยมือจากกัมพูชาง่ายๆ เพราะลงทุนไปมาก แต่สาเหตุที่จีนหยุดสนับสนุน โครงการขุดคลองฟูนันเตโช จากพนมเปญออกอ่าวไทย ยังไม่พบสาเหตุ แต่ท่าเรือเรียมนั้นจีนลงทุนเต็มๆและขณะนี้มีเรือฟรีเกตของจีนจอดอยู่ 2 ลำ กัมพูชาก็คงไม่กล้ายึดแน่นอน
เรื่องที่ 3 คือ เรื่องที่เกาหลีเหนือ โดยกระทรวงต่างประเทศได้ออกมาแถลงการณ์ด้วยความเป็นห่วงให้ไทยกับกัมพูชาเร่งยุติข้อขัดแย้งก็มีการไปขยายความว่า ตอนนี้มีประเทศที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับปัญหาถึง 4 ประเทศ คือ สหรัฐฯ จีน มาเลเชีย และเกาหลีเหนือ
ในความเป็นจริงสมาชิกอาเซียนทั้งหมดก็กังวลเพียงแต่ยังสงวนท่าทีและมีการเจรจาภายในกันอยู่ ส่วนที่เกาหลีเหนือออกมาแสดงความกังวลปัญหาไทยกัมพูชานั้น หลายท่านคงไม่ทราบว่าเกาหลีเหนือมีความสัมพันธ์อันดีทั้งกับไทยและกัมพูชา ตัวอย่างเช่น ในช่วงสงครามเวียดนาม เกาหลีเหนือเคยส่งทหารมาช่วยเวียดนามเหนือรบสหรัฐฯ และยังขยายความร่วมมือไปยังสมรภูมิในลาวและกัมพูชา
ส่วนไทยนั้นในสมัยที่หมอกระแส ชนะวงศ์เป็นรมต.ต่างประเทศ ได้ไปสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด และมีการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในยามที่เกาหลีเหนือลำบาก จะเห็นได้ว่าเกาหลีเหนือให้ความสำคัญกับไทยด้วยการสร้างสถานทูตขนาดใหญ่ที่กรุงเทพฯ
อย่างไรก็ตามการระมัดระวังตัวเองของไทยในยามนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการประจันหน้ากันระหว่างมหาอำนาจ 2 ขั้วในภูมิภาคต่างๆรวมทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไทยและกัมพูชาต่างเป็นจุดที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ที่สหรัฐฯต้องการเสริมกำลังการปิดล้อมจีนไม่ให้ออกมหาสมุทรอินเดีย แม้จุดสำคัญจะอยู่ที่ช่องแคบมะละกาก็ตาม
โดยเฉพาะไทยเรามีชัยภูมิ 2 มหาสมุทร ที่จะเป็นฐานสนับสนุนให้สหรัฐฯได้ทั้งด้านทะเลจีนตอนใต้ กับด้านอ่าวเบงกอลในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งด้านมหาสมุทรอินเดียนั้นสหรัฐฯมีแผนตั้งทัพที่เกาะเซนต์มาติน บังกลาเทศ และอินเดีย ที่เป็นสมาชิก QUAD ก็มีฐานทัพอยู่ที่เกาะนิโคบาและอันดามัน
ส่วนไทยอาจถูกใช้เป็นฐานส่งกำลังบำรุงแถวพังงา แต่ที่อ่าวทับละมุไม่สามารถตั้งฐานทัพเรือขนาดใหญ่ได้
ด้านจีนก็มีความมุ่งมั่นที่จะใช้ เมียนมา เป็นระเบียงออกสู่มหาสมุทรอินเดีย โดยการสร้างท่าเรือน้ำลึกที่ยะไข่ ซึ่งอาจใช้เป็นฐานทัพเรือได้ในอนาคต หากเหตุการณ์สู้รบในเมียนมาทุเลาเบาบางลง
จีนยังมีฐานรองรับที่ท่าเรือน้ำลึกศรีลังกา กับท่าเรือน้ำลึกกวาดาร์ ของปากีสถาน แต่สหรัฐฯก็มีฐานทัพอากาศที่เกาะดีโกกราเซียที่คอยกระหนาบหลังจีนอยู่
นั่นเป็นเกมหมากล้อมของมหาอำนาจ ซึ่งไทยจะต้องระมัดระวังอย่าตกเป็นเหยื่อในสงครามตัวแทน โดยเด็ดขาดโดยเฉพาะการไม่ยอมให้มหาอำนาจใดๆมาตั้งฐานทัพในไทยหรือแม้แต่ฐานส่งกำลังบำรุง เพราะนั่นคือการชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน
ที่น่ากังวลคือการเมืองไทยอยู่ในฐานะที่ร่อแร่มาก ซึ่งทำให้การเดินงานระหว่างประเทศที่เป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวดอ่อนด้อยลง และพึงเข้าใจด้วยว่าสงครามในยุคปัจจุบันได้ถูกขยายผลเป็นสงครามพันธุ์ทาง ที่มีทั้งสงครามกายภาพ สงครามเศรษฐกิจ สงครามข้อมูลข่าวสาร สงครามการเมือง สงครามไซเบอร์ ซึ่งทหารทำไม่ได้ทุกอย่าง แต่หลายเรื่องเป็นหน้าที่ของฝ่ายการเมือง ซึ่งนี่คือคำตอบว่า “ทหารมีไว้ทำไม”