รู้จัก SLAPP: คดีปิดปากที่ทำให้สังคม ‘กลัว-ชะงัก’ เมื่อต้องตรวจสอบอำนาจกลุ่มทุน
“การฟ้อง SLAPP ทำให้สังคมเกิดภาวะชะงักงันในการแสดงความคิดเห็นต่อกลุ่มทุนผูกขาด ที่ไม่ได้ต้องการชัยชนะ แต่เป็นเพียงการข่มขู่ กลั่นแกล้ง และปิดปาก”
การฟ้องเพื่อลดการตรวจสอบ (SLAPP) กลายเป็นประเด็นที่สังคมหยิบยกมาพูดถึงอีกครั้ง วันนี้ (25 สิงหาคม) The MATTER ขอชวนทุกคนไปรู้จักการฟ้องร้องดังกล่าวว่า มันคืออะไรและทำงานอย่างไร?
ขออธิบายก่อนว่า การฟ้องเพื่อลดการตรวจสอบ หรือ Strategic Lawsuit against Public Participation: SLAPP ถูกคิดค้นขึ้นมาโดยนักทฤษฎีกฎหมายชาวอเมริกัน มีความหมายว่าการฟ้องร้องที่ปราศจากการแสวงหาความยุติธรรมอันเป็นสาระสำคัญ (Substantial Merit) ที่ถือเป็นเครื่องมือเพื่อหยุดพลเมืองไม่ให้ใช้สิทธิทางการเมือง จึงลงโทษด้วยการฟ้องหมิ่นประมาท
โดยสรุปแล้วการฟ้องร้องในกระบวนยุติธรรมในลักษณะนี้จึงไม่ได้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อมุ่งแสวงหาความยุติธรรม แต่เป็นการใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อกดดัน จำกัดการแสดงออก เพราะผู้ที่ถูกฟ้องจำเป็นต้องวิ่งสู้คดี ต้องสละเวลา ส่งผลให้การฟ้อง SLAPP จะช่วยยุติข้อเรียกร้องจากกลุ่มนักเคลื่อนไหว แต่ในขณะเดียวกันจะก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างบริษัทเอกชนและภาคประชาชน
วิธีการดังกล่าวยังเป็นที่นิยมในหลายๆ ประเทศ เช่น ประเทศไทย และบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ตาม ภาคประชาชนในหลายๆ ประเทศ มีการเสนอกฎหมายป้องกันการฟ้องคดีปิดปาก (Anti-SLAPP Law) ขณะที่ประเทศไทยมีการเสนอร่างพระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการฟ้องคดีปิดปากในความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่และประพฤติมิชอบ พ.ศ. …. เพื่อนำมาใช้เป็นกฎหมายปกป้องประชาชน
เพราะจุดประสงค์หลักของผู้ฟ้องคดีไม่ได้มุ่งหวังในผลแพ้ชนะของคดี เพียงแต่มีวัตถุประสงค์เพื่อข่มขู่ กลั่นแกล้ง หรือขัดขวางประชาชนที่เข้าไปมีส่วนร่วม แสดงความคิดเห็น หรือแจ้งเบาะแส ดังนั้น ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นเครื่องมือเพื่อ ‘ป้องกันการฟ้องคดีปิดปาก’ ตั้งแต่เริ่มต้นของกระบวนการยุติธรรม
อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษาประกาศ ‘กฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก’ ฉบับที่ 2 เพิ่มมาตรการคุ้มครองช่วยเหลือผู้ที่เปิดโปงแจ้งเบาะแสการทุจริต เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการต่อต้าน หรือชี้ช่องแจ้งเบาะแสการทุจริตมากขึ้น
พ.ร.บ.ฉบับใหม่นี้ มีข้อบัญญัติทั้งหมด 7 มาตรา เพื่อคุ้มครองผู้ชี้เบาะแส แจ้งข้อมูลหลักฐานหากกระทำโดยสุจริต จะได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิด และเพิ่มมาตรการช่วยเหลือโดยเร่งด่วนหากถูกกลั่นแกล้งฟ้องกลับ เช่น ในคดีอาญา ไม่ว่าจะเป็นในชั้นพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือศาล คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต้องเข้าช่วยเหลือ อาทิ การแจ้งมติคุ้มครองไปให้พนักงานสอบสวน อัยการ หรือศาล นำเข้าประกอบการพิจารณาในสำนวนคดี การจัดให้เจ้าหน้าที่หรือจัดหาทนายเพื่อช่วยเหลือ รวมถึงช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี
หรือในคดีแพ่ง ป.ป.ช.ต้องจัดเจ้าหน้าที่หรือทนายในการดำเนินคดีในศาล รวมถึงการสนับสนุนค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี โดยใช้งบประมาณจากกองทุนป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
ท้ายที่สุดแล้ว คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีบทบาทสำคัญต่อต่อกฏหมายเพื่อป้องกันการฟ้องคดีปิดปาก (Anti-SLAPP Law) เพราะมีอำนาจในการใช้กลไกทางกฏหมาย และพิจารณาว่าบุคคลใดสมควรได้รับความคุ้มครอง และความช่วยเหลือในกรณีที่ถูกฟ้องคดีทั้งทางแพ่ง ทางอาญา รวมถึงการถูกดำเนินการทางวินัย
อ้างอิงจาก