CPALL เสิร์ฟสินค้า Ready-to-eat ตรงใจ ดันยอดขายโต

หุ้นวิชั่น - CPALL คาดยอดขาย SSSG และอัตรากำไรขั้นต้น จะดีกว่าครึ่งปีแรกและช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการฟื้นตัวของเศษฐกิจ และการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นท่องเที่ยวใน Q4/2568 หนุนต่อกำลังซื้อผู้บริโภคทั้งไทยและต่างชาติ ขณะที่ยังเสนอสินค้า Ready-to-eat ตรงใจลูกค้าต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าขยายสาขาอีก 350 สาขา คงงบลงทุน 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท

นางสาวปัณฑารีย์ นันทนาคม ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป สำนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้จะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก และช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งในแง่ของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) และอัตรากำไรขั้นต้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังมาตการภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐ มีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อกำลังซื้อผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น อีกทั้งโดยปกติในไตรมาส 4/2568 จะเป็นช่วงของไฮซีซั่นของภาคการท่องเที่ยว แม้จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนจะลดลง แต่ได้นักท่องเที่ยวทวีปยุโรป โดยเฉพาะรัสเซีย และฝั่งอเมริกาที่เข้ามามากขึ้น ช่วยหนุนยอดขายในร้านสะดวกซื้อ 7- Eleven อย่างไรก็ตามก็ต้องติดตามดูว่ายอดนักท่องเที่ยวจะเป็นไปตามเป้าหมารยที่ 35 ล้านคน ได้หรือไม่ หากเป็นไปตามคาดการณ์ก็จะหนุนต่อจำนวนผู้เข้าร้านสะดวกซื้อฯ ต่อสาขาต่อวัน ปรับตัวดีขึ้น

ขณะที่บริษัทฯ ยังคงเสนอสินค้าให้ตรงใจลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าพร้อมทาน (Ready-to-eat) เช่น แซนวิช อบร้อนเมนูใหม่ๆ ซึ่งจุดนี้จะเป็นการดึงความสนใจของลูกค้าให้ติดตามว่าจะมีแซนวิชไส้อะไรออกมาบ้าง หรือการไปร่วมคิดค้นเมนูกับแบรนด์ใดบ้าง เช่น เนื้อแท้ ที่มีเมนู แซนวิช เนื้อย่างจิ้มแจ่ม ก็เป็นเมนูที่ขายดี หรือว่าจะเป็นเมนูทาร์ตไข่ เป็นต้น

นอกจากนี้ ALL Café (ออลคาเฟ่) บริษัทฯ ก็มีแผนขยายแบรนด์ เพื่อตอบโจทย์ทุกกลุ่มของลูกค้า ขณะเดียวกันการขยายสาขาร้านสะดวกซื้อ 7- Eleven ในครึ่งปีหลังนี้ ก็มีแผนเพิ่มอีก 350 สาขา จากครึ่งปีแรกเปิดไปแล้ว 350 สาขา ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายการขยายสาขาทั้งปีที่ 700 สาขา สนับสนุนเป้าหมายที่จะมีสาขาเพิ่มเป็น 20,000 สาขาในอนาคต จากปัจจุบันมีเกือบ 16,000 สาขาแล้ว ทำให้เชื่อว่าอย่างน้อยในอีก 3-5 ปี การเปิดสาขาราว 700 สาขาต่อปี ยังเป็นตัวเลขที่เหมาะสม โดยมีเป้าหมายที่จะเข้าถึงความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด

คงงบลงทุนไว้ตามเดิมที่ 12,000-13,600 ล้านบาท แบ่งเป็น การเปิดสาขาใหม่ จำนวน 3,800-4,600 สาขา, การปรับปรุงสาขาเดิม จำนวน 2,900-3,500 สาขา, โครงการใหม่-บริษัทย่อยและศูนย์กระจายสินค้า จำนวน 4,000-4,100 ล้านบาท, ปรับปรุงระบบสารสนเทศ จำนวน 1,300-1,400 ล้านบาท