"ไวรัสตับอักเสบบี" ต้นเหตุ "มะเร็งตับ" รู้เท่าทัน ป้องกันได้
รู้หรือไม่ ร้อยละ 90 ของคนที่เป็นมะเร็งตับ เคยมีมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีมาก่อน ในประเทศไทยประชากรที่เกิดก่อนปี 2535 ยังไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี และควรเข้ารับวัคซีนให้ครบ 3 เข็ม จึงสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ถึงร้อยละ 95
โรคไวรัสตับอักเสบบีคืออะไร ?
โรคไวรัสตับอักเสบบี เป็นการอักเสบของตับจากการติดเชื้อ HBV หรือไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Virus) โดยที่โรคไวรัสตับอักเสบบีสามารถแบ่งได้ 2 ชนิดคือ ไวรัสตับอักเสบบีเฉียบพลัน และไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง
1.ไวรัสตับอีกเสบบีเฉียบพลัน เป็นการติดเชื้อที่กินระยะเวลาไม่นานมักมีอาการของโรคที่ปรากฏอย่างชัดเจน และจะหายได้เองภายใน 6 เดือน แต่หากร่างกายไม่สามารถหายได้เองก็สามารถนำไปสู่การติดเชื้อในระยะยาวหรือไวรัสตับอักเสบเรื้อรังได้
2.ไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง เป็นการติดเชื้อที่กินระยะเวลานานกว่า 6 เดือน ผู้ป่วยมักมีอาการอ่อนเพลียอย่างต่อเนื่อง หรือไม่มีอาการเลย พบได้บ่อยในผู้ที่ติดเชื้อตั้งแต่เด็กหรือทารกแรกเกิด ไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังสามารถนำไปสู่โรคตับชนิดอื่น ๆ ได้ เช่นโรคตับแข็งและโรคมะเร็งตับ
อาการของโรคไวรัสตับอักเสบบี
อาการของโรคไวรัสตับอักเสบบีเฉียบพลันมีความรุนแรงตั้งแต่เล็กน้อยถึงมาก อาการจะปรากฏประมาณ 1 ถึง 4 เดือน หลังจากได้รับเชื้อ ซึ่งโรคไวรัสตับอักเสบบีเฉียบพลันมีอาการดังนี้
-มีไข้
-เบื่ออาหาร
-คลื่นไส้อาเจียน
-ปวดท้อง
-เหนื่อยหอบ
-ปวดข้อ
-ปัสสาวะสีเข้ม
-ผิวเหลืองและตาขาวมีสีเหลืองหรือดีซ่าน
หากได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี จะมีอาการอย่างไร
หากได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี จะเข้าไปฟักตัวในร่ายกายเราประมาณ 2-3 เดือน แล้วจึงเริ่มมีอาการอ่อนเพลียคล้ายเป็นหวัด คลื่นไส้ อาเจียน จุกแน่นใต้ชายโครงขวาจากตับโต ปัสสาวะเข้ม ตาเหลือง อาการเหล่านี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นในเวลา 2-3 สัปดาห์ และร่างกายจะค่อย ๆ กำจัดไวรัสตับอักเสบบีออกไปพร้อม ๆ กับการสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีซ้ำอีก
ผู้ป่วยร้อยละ 5-10 อาจโชคไม่ดี ไม่สามารกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้ เกิดการติดเชื้อเรื้อรัง โดยเฉพาะหากได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ผู้ป่วยบางรายจะมีอักเสบของตับร่วมด้วย ซึ่งหากมีการอักเสบตลอดเวลาจะทำให้มีการตายของเซลล์ตับ เกิดมีพังผืดเพิ่มมากขึ้นจนเป็นตับแข็งในที่สุด ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งกลายเป็นมะเร็งตับซ้ำเติม
โรคไวรัสตับอีกเสบบี ป้องกันได้หรือไม่ ?
การป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบีที่ดีที่สุด คือการได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งสามารถฉีดได้ตั้งแต่แรกเกิด หากยังไม่ได้รับวัคซีนสามารถป้องกันได้ด้วยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ งดใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น แปรงสีฟันหรือมีดโกน
ผู้ที่ “ควร” เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี
-ผู้ที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคไวรัสตับอักเสบ บี
-เด็กแรกเกิดในประเทศไทยทุกคน รวมถึงเด็กที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนนี้มาก่อน
-ผู้ใหญ่ที่เสี่ยงต่อการสัมผัสโรค เช่น คู่สมรสของผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี
-ผู้ที่ต้องได้รับเลือดบ่อยๆ ผู้ป่วยฟอกไต บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ที่ใช้ยาเสพติด ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย ผู้ที่เป็นโรคตับ โรคไตเรื้อรัง
-นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าไปยังประเทศที่เป็นแหล่งระบาด หรือมีความชุกของโรคสูง
-ในเด็กโตที่อายุมากกว่า 10 ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่ ควรตรวจเลือดก่อนฉีดวัคซีนนี้ เพื่อดูว่ามีภูมิคุ้มกันอยู่ก่อนการฉีดวัคซีนหรือไม่ เนื่องจากบางรายอาจเคยติดเชื้อ และมีภูมิคุ้มกันโรคตามธรรมชาติอยู่แล้ว
- ผู้ที่เกิดก่อนปี พ.ศ. 2535 เพราะก่อนหน้านั้นยังไม่มีการฉีดวัคซีนในเด็กแรกเกิดอย่างทั่วถึง โดยต้องฉึดให้ครบ 3 เข็ม จึงสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ถึงร้อยละ 95
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- Liver Fibrosis Scan เทคโนโลยีตรวจไขมันพอกตับ ไม่ต้องเจาะตับเพื่อตรวจสภาพ
- ทางเลือกใหม่รักษามะเร็งตับ ด้วยวิธีการฉีดสารกัมมันตรังสีผ่านหลอดเลือดแดง
- 5 สัญญาณเตือน! สุขภาพตับที่ไม่ดี ตั้งแต่เบื่ออาหาร จนถึงรอยดำบนใบหน้า
- ข่าวนี้จริงไหม…..ไวรัสตับอักเสบบี รู้เร็วรักษา ลดเสี่ยงมะเร็งตับ ?
- สมุนไพร-วิตามิน กินมากไป ตับอักเสบ ?