โรคระเบิดอารมณ์ คืออะไร จากกรณีเด็กนักเรียนทำร้ายร่างกายครู
จากกรณีนักเรียนชายชั้น ม.5 ทำร้ายร่างกายครู หลังไม่พอใจผลสอบได้คะแนนน้อย กลายเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงในโซเซียลหลากหลายมุมมอง ซึ่งหนึ่งในนั้นเกี่ยวกับพฤติกรรมทางด้านจิตเวช
เพราะเด็กคนดังกล่าวเรียนดีมาตลอด แต่พฤติกรรมแสดงออกเหมือนกำลังระเบิดอารมณ์รุนแรง ซึ่งไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ จนหลายคนเรียกว่า“โรคระเบิดอารมณ์” หรือ “ภาวะสติแตก”
ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ระบุไว้ว่า การระเบิดอารมณ์โกรธที่ไม่สามารถควบคุมได้มักเกิดจากการกระทำที่ไม่ยั้งคิด เช่น การใช้คำพูดด่าทอหรือทำลายข้าวของ การร้องไห้หรือกรีดร้องอย่างหนัก การทำร้ายร่างกายบุคคลอื่นจนคนรอบข้างกลัว
โดยภาวะสติแตกเกิดจากการตอบสนองต่อความเครียด หรือความวิตกกังวลอย่างรุนแรง การเข้าใจและรับรู้สัญญาณเตือนการระเบิดอารมณ์ จึงเป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกันและจัดการกับอารมณ์โกรธอย่างเหมาะสม หากความโกรธไม่ได้รับการจัดการ จะนำไปสู่ความเครียดสะสม และส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตในระยะยาว
พญ.ชนม์นิภา บุตรวงษ์ แพทย์เฉพาะทางด้านจิตเวชเด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลเฉพาะทางแม่และเด็กแพทย์รังสิต กล่าวว่า การระเบิดความโกรธของเด็ก ถือว่าปัญหาที่พ่อ-แม่ ต้องรีบแก้ไข
ต้องตระหนักรู้ว่าอาการที่เด็กหงุดหงิดและโมโหง่ายเกิดจากอะไร มีวิธีดูแลอย่างไร เพื่อทำความเข้าใจและห่ทางรักษาให้ทันท่วงที
เนื่องจากพฤติกรรมก่อกวนหลายอย่างมักแสดงออกเป็นรูปแบบความโกรธ ความหงุดหงิด ซึ่งล้วนเป็นอาการหลักของโรคดื้อต่อต้าน (Oppositional Defiant Disorder) และพฤติกรรมเกเรก้าวร้าวรุนแรง (Conduct disorder)
หากมีความผิดปกติทางจิตเวชอื่นๆ ร่วมด้วย จะมีความเสี่ยงที่เด็กจะมีพฤติกรรมก่อกวน โกรธ และก้าวร้าวมากขึ้น ด้วยผลการศึกษางานวิจัย ดังนี้
- อัตราความชุกของพฤติกรรมก่อกวนมีตั้งแต่ 14 - 35%
- ในเด็กที่มีภาวะสมาธิสั้นพบความชุกมากขึ้นเป็น 14 - 62%
- ในเด็กที่มีความวิตกกังวลพบความชุก 9 - 45%
ปกติในเด็กอายุ 1-4 ปีระดับความโกรธจะแสดงพฤติกรรมการร้องไห้ กระทืบ ผลัก ตี และ เตะ และมีความถี่ตั้งแต่ 5-9 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยมีระยะเวลาเฉลี่ย 5-10 นาที แต่ความรุนแรงและความถี่ของการโกรธส่วนใหญ่ มีแนวโน้มลดลงเมื่อเด็กเติบโตและมีอายุเพิ่มขึ้น
วิธีจัดการความโกรธ
1. รู้ทันอารมณ์โกรธ ผู้ที่มัภาวะดังกล่าวจะต้องสามารถยอมรับตนเองได้ว่ารู้สึกโกรธ รู้เท่าทันอารมณ์ อยู่ในภาวะที่สิ่งแวดล้อมที่ช่วยลดสิ่งยั่วยุทางอารมณ์ได้ จนนำไปสู่การเกิดสมาธิพอที่จะมีสติรู้ตัวมากขึ้น
2. การผ่อนคลายลมหายใจ จากกล้ามเนื้อด้วยการหายใจเข้า-ออกช้าๆ ลึกๆ โดยที่ยังรู้สึกหายใจสะดวก ส่วนกล้ามเนื้อในร่างกายจะหดเกร็งอยู่เสมอ เริ่มตั้งแต่ใบหน้า บ่า ฝ่ามือ แขน ขาทั้ง 2 ข้าง แล้วค่อยๆ จินตนาการว่ากล้ามเนื้อนั้นๆ กำลังยืดและคลายตัว
3. เมื่ออารมณ์สงบขึ้นแล้ว ต้องพิจารณาหาวิธีจัดการแก้ไข้ปัญหา เช่น การพูดคุยกับคนที่ไว้ใจ การพูดคุยช่วยให้ความรู้สึกรุนแรงสงบลง และช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจเรามากขึ้น
4. การได้ยินตัวเองพูดออกมาดังๆ จะช่วยให้เข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ง่ายกว่าเวลาการถูกความคิดและความรู้สึกถูกกักไว้ภายใน
พญ.ชนม์นิภา กล่าวว่า แม้การรับมือกับความโกรธจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การควบคุมความโกรธเป็นสิ่งที่สามารถฝึกฝนได้อย่างต่อเนื่อง อาจช่วยกำจัดความรู้สึกโกรธออกไปไม่ได้ทั้งหมด แต่สิ่งสำคัญคือต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมตัวเอง ไม่ให้ถูกครอบงำจนสติแตก หรือระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างรุนแรง
ข้อมูลจาก กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลแพทย์รังสิต