โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สุขภาพ

โรคระเบิดอารมณ์ คืออะไร จากกรณีเด็กนักเรียนทำร้ายร่างกายครู

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 9 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

จากกรณีนักเรียนชายชั้น ม.5 ทำร้ายร่างกายครู หลังไม่พอใจผลสอบได้คะแนนน้อย กลายเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงในโซเซียลหลากหลายมุมมอง ซึ่งหนึ่งในนั้นเกี่ยวกับพฤติกรรมทางด้านจิตเวช

เพราะเด็กคนดังกล่าวเรียนดีมาตลอด แต่พฤติกรรมแสดงออกเหมือนกำลังระเบิดอารมณ์รุนแรง ซึ่งไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ จนหลายคนเรียกว่า“โรคระเบิดอารมณ์” หรือ ภาวะสติแตก”

ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ระบุไว้ว่า การระเบิดอารมณ์โกรธที่ไม่สามารถควบคุมได้มักเกิดจากการกระทำที่ไม่ยั้งคิด เช่น การใช้คำพูดด่าทอหรือทำลายข้าวของ การร้องไห้หรือกรีดร้องอย่างหนัก การทำร้ายร่างกายบุคคลอื่นจนคนรอบข้างกลัว

โดยภาวะสติแตกเกิดจากการตอบสนองต่อความเครียด หรือความวิตกกังวลอย่างรุนแรง การเข้าใจและรับรู้สัญญาณเตือนการระเบิดอารมณ์ จึงเป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกันและจัดการกับอารมณ์โกรธอย่างเหมาะสม หากความโกรธไม่ได้รับการจัดการ จะนำไปสู่ความเครียดสะสม และส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตในระยะยาว

พญ.ชนม์นิภา บุตรวงษ์ แพทย์เฉพาะทางด้านจิตเวชเด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลเฉพาะทางแม่และเด็กแพทย์รังสิต กล่าวว่า การระเบิดความโกรธของเด็ก ถือว่าปัญหาที่พ่อ-แม่ ต้องรีบแก้ไข

ต้องตระหนักรู้ว่าอาการที่เด็กหงุดหงิดและโมโหง่ายเกิดจากอะไร มีวิธีดูแลอย่างไร เพื่อทำความเข้าใจและห่ทางรักษาให้ทันท่วงที

เนื่องจากพฤติกรรมก่อกวนหลายอย่างมักแสดงออกเป็นรูปแบบความโกรธ ความหงุดหงิด ซึ่งล้วนเป็นอาการหลักของโรคดื้อต่อต้าน (Oppositional Defiant Disorder) และพฤติกรรมเกเรก้าวร้าวรุนแรง (Conduct disorder)

หากมีความผิดปกติทางจิตเวชอื่นๆ ร่วมด้วย จะมีความเสี่ยงที่เด็กจะมีพฤติกรรมก่อกวน โกรธ และก้าวร้าวมากขึ้น ด้วยผลการศึกษางานวิจัย ดังนี้

  • อัตราความชุกของพฤติกรรมก่อกวนมีตั้งแต่ 14 - 35%
  • ในเด็กที่มีภาวะสมาธิสั้นพบความชุกมากขึ้นเป็น 14 - 62%
  • ในเด็กที่มีความวิตกกังวลพบความชุก 9 - 45%

ปกติในเด็กอายุ 1-4 ปีระดับความโกรธจะแสดงพฤติกรรมการร้องไห้ กระทืบ ผลัก ตี และ เตะ และมีความถี่ตั้งแต่ 5-9 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยมีระยะเวลาเฉลี่ย 5-10 นาที แต่ความรุนแรงและความถี่ของการโกรธส่วนใหญ่ มีแนวโน้มลดลงเมื่อเด็กเติบโตและมีอายุเพิ่มขึ้น

วิธีจัดการความโกรธ

1. รู้ทันอารมณ์โกรธ ผู้ที่มัภาวะดังกล่าวจะต้องสามารถยอมรับตนเองได้ว่ารู้สึกโกรธ รู้เท่าทันอารมณ์ อยู่ในภาวะที่สิ่งแวดล้อมที่ช่วยลดสิ่งยั่วยุทางอารมณ์ได้ จนนำไปสู่การเกิดสมาธิพอที่จะมีสติรู้ตัวมากขึ้น

2. การผ่อนคลายลมหายใจ จากกล้ามเนื้อด้วยการหายใจเข้า-ออกช้าๆ ลึกๆ โดยที่ยังรู้สึกหายใจสะดวก ส่วนกล้ามเนื้อในร่างกายจะหดเกร็งอยู่เสมอ เริ่มตั้งแต่ใบหน้า บ่า ฝ่ามือ แขน ขาทั้ง 2 ข้าง แล้วค่อยๆ จินตนาการว่ากล้ามเนื้อนั้นๆ กำลังยืดและคลายตัว

3. เมื่ออารมณ์สงบขึ้นแล้ว ต้องพิจารณาหาวิธีจัดการแก้ไข้ปัญหา เช่น การพูดคุยกับคนที่ไว้ใจ การพูดคุยช่วยให้ความรู้สึกรุนแรงสงบลง และช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจเรามากขึ้น

4. การได้ยินตัวเองพูดออกมาดังๆ จะช่วยให้เข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ง่ายกว่าเวลาการถูกความคิดและความรู้สึกถูกกักไว้ภายใน

พญ.ชนม์นิภา กล่าวว่า แม้การรับมือกับความโกรธจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การควบคุมความโกรธเป็นสิ่งที่สามารถฝึกฝนได้อย่างต่อเนื่อง อาจช่วยกำจัดความรู้สึกโกรธออกไปไม่ได้ทั้งหมด แต่สิ่งสำคัญคือต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมตัวเอง ไม่ให้ถูกครอบงำจนสติแตก หรือระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างรุนแรง

ข้อมูลจาก กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลแพทย์รังสิต

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ฐานเศรษฐกิจ

แนะร้านอาหารพลิกเกมสู้วิกฤต สตรีทฟู้ด-แผงลอย ชิงยอดขาย ไตรมาส 4

43 นาทีที่แล้ว

ราคาน้ำมันวันนี้2568 (13 ส.ค. 68) ปตท. บางจาก อัปเดตราคาล่าสุด

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ถ่ายทอดสด เปแอสเช พบ สเปอร์ส ดูบอลสดยูฟ่าซูเปอร์ คัพ 2025

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

สภาพอากาศวันนี้ -18 ส.ค.ไทยฝนเพิ่ม กทม.ปริมณฑล ฝนฟ้าคะนอง 60 – 80 %

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความสุขภาพอื่นๆ

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...