กรมสุขภาพจิต เร่งสร้างทักษะควบคุมอารมณ์เด็ก หลังเหตุรุนแรงในโรงเรียน
12 สิงหาคม 2568 จากกรณีการก่อเหตุรุนแรงโดยนักเรียนต่อครู กรมสุขภาพจิต เน้นย้ำความสำคัญของการส่งเสริมทักษะควบคุมอารมณ์ในเด็กเพื่อป้องกันปัญหาพฤติกรรมรุนแรง พ่อแม่และผู้ปกครองสามารถใช้หลักการ แก้ปัญหาและสร้างความยืดหยุ่นทางใจ (resilience) สอนเด็กให้รับรู้และจัดการกับอารมณ์อย่างสร้างสรรค์พร้อมส่งเสริมความมั่นคงทางใจผ่านการให้กำลังใจและความรักที่ไม่มีเงื่อนไข เพื่อให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ พร้อมติดตามสภาพจิตใจผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด เน้นย้ำให้สังคมไม่ตอกย้ำด้วยการแชร์รูปหรือวิดีโอเหตุการณ์ผ่านโซเชียลมีเดีย เพราะเป็นการสร้างแผลซ้ำและซ้ำเติมความเสียใจให้ยาวนานยิ่งขึ้น
นายแพทย์กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า เหตุการณ์นักเรียนทำร้ายครูเป็นเรื่องที่สะท้อนความสำคัญอย่างยิ่งของการพัฒนาและส่งเสริมทักษะชีวิตในเด็กอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะทักษะการควบคุมอารมณ์ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่กำหนดพฤติกรรมและลักษณะการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างเหมาะสม
การที่เด็กจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดีนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงแค่ความรู้ทางวิชาการเท่านั้น แต่ยังต้องได้รับการพัฒนาทักษะในด้านต่าง ๆ ของชีวิต ทั้งทักษะทางสังคมที่ช่วยให้เด็กสามารถสื่อสารและร่วมมือกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะการปรับตัวเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในชีวิต
รวมถึงทักษะการอยู่ร่วมกับคนรอบข้างอย่างสงบสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะการควบคุมอารมณ์ตนเองเมื่อประสบกับปัญหาและความผิดหวัง พ่อแม่และผู้ปกครองจึงมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างทักษะดังกล่าว ผ่านการเป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องการควบคุมอารมณ์พร้อมทั้งให้คำแนะนำและสั่งสอนที่เหมาะสมกับวัยของเด็ก
เริ่มจากการทำความเข้าใจและยอมรับว่าปัญหาและความผิดหวังเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องพบเจอได้ในชีวิต และชี้ให้เด็กเห็นถึงมุมมองเชิงบวกหรือแง่คิดสร้างสรรค์ที่สามารถนำมาใช้จัดการกับความรู้สึกเหล่านั้น เช่น อธิบายให้เด็กเข้าใจว่าแม้แต่บุคคลที่มีชื่อเสียงหรือประสบความสำเร็จในชีวิตก็มักเคยผ่านความผิดหวังมาก่อน และมีวิธีจัดการกับความรู้สึกเหล่านั้นอย่างไรเพื่อให้เด็กสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การส่งเสริมทักษะควบคุมอารมณ์ในเด็ก ควรเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องและครอบคลุม โดยต้องฝึกให้เด็กสามารถรับรู้และบอกชื่อความรู้สึกของตนเองได้อย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกในด้านบวก เช่น ความดีใจ ความภูมิใจ หรือด้านลบ เช่น ความโกรธ ความเสียใจ ซึ่งการฝึกบอกชื่อความรู้สึกนี้จะช่วยให้เด็กมีความเข้าใจในตนเองมากขึ้น และสามารถจัดการอารมณ์เหล่านั้นได้อย่างเหมาะสม
ที่สำคัญที่จะฝากทิ้งท้ายถึงทุกท่าน คือ การไม่แชร์รูปหรือวิดีโอเหตุการณ์ผ่านโซเชียลมีเดีย เพราะเป็นการตอกย้ำความเสียใจต่อทั้งผู้ที่กระทำ ผู้ถูกกระทำ รวมไปถึงเป็นการซ้ำเติมครอบครัวและสังคมให้ยาวนานยิ่งขึ้นอีกด้วย
นายแพทย์จุมภฏ พรมสีดา รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า นอกจากนี้ ควรสอนให้เด็กรู้จักพัก ถอยออกจากสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดอารมณ์ลบ โดยการหันไปทำกิจกรรมที่ชื่นชอบหรือช่วยผ่อนคลาย เช่น การเล่นกีฬา การพักผ่อน หรือการทำงานอดิเรกต่าง ๆ เพื่อบรรเทาความเครียดและความตึงเครียดในใจ พร้อมทั้งส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาและสร้างความยืดหยุ่นทางใจ (Resilience) ผ่านการให้เด็กได้เผชิญกับความท้าทายที่เหมาะสมตามวัย เช่น การเข้าร่วมการแข่งขันกีฬา หรือการทำการบ้านที่มีความยากมากขึ้น พร้อมตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นให้เด็กคิดวิเคราะห์และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เหมาะสมต่อไป รวมทั้งการให้กำลังใจในกระบวนการความพยายาม (Effort) มากกว่าผลลัพธ์เพื่อให้เด็กเกิดแรงจูงใจและความมั่นใจในการเผชิญกับปัญหาในอนาคต
ทั้งนี้ กรมสุขภาพจิตยังมีระบบที่จะสนับสนุนการดูแลเด็กเยาวชน ครอบครัว และสถาบันการศึกษา ได้แก่ Thai Triple-P หรือ "เลี้ยงเก่ง ลูกเก่ง" เป็นโปรแกรมฝึกทักษะการเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยสำหรับพ่อแม่และผู้ปกครอง โดยเน้นการส่งเสริมพัฒนาการและความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ของเด็กอายุ 2 ปี 6 เดือน ถึง 6 ปี และระบบในการช่วยเด็กในระบบการศึกษาได้แก่ School Health HERO (Health and Educational Reintegrating Operation) เพื่อให้ครูคัดกรองและประเมินความเสี่ยงของนักเรียนได้ง่ายขึ้น นำไปสู่กระบวนการช่วยเหลือจากครูได้อย่างทันท่วงที และหากเกินความสามารถของครู เด็กจะถูกส่งต่อไปยังสถานบริการสาธารณสุขคู่ขนาน เพื่อให้ได้รับการดูแลและรับการรักษาที่เหมาะสม