“บ้านหนองจาน”เอฟเฟกต์ สมการเปลี่ยนเขย่า“โผทบ.”
ไล่เรียงเหตุการณ์ชาวกัมพูชาประมาณ 20 คน ออกมาด่าทอทหารจากกองกำลังบูรพา และใช้ไม้ตีลวดหนามหีบเพลงที่วางไว้กั้นพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา หลังมีข้อตกลงหยุดยิง และเป็นจุดที่คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว หรือ IOT ลงพื้นที่
การออกมาเคลื่อนไหวของชาวบ้านกัมพูชาดังกล่าวเกิดจากความไม่พอใจต่อเนื่องจากเหตุการณ์ทหารวางลวดหนามหีบเพลงที่ขยายออกไปจากจุดเดิมประมาณ 30-50 เมตร เมื่อช่วงสายวันที่ 25 ก.ค. ซึ่งเป็นการกางลวดหนามชั่วคราวเพื่อให้เจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดิน จังหวัด และชาวบ้านลงไปชี้จุดถือครองเอกสารสิทธิ ประมาณ 1 ชม. ทางฝ่ายไทยจึงประสานไปยัง ผบ.กองพลน้อย ร.51 เพื่อทำความเข้าใจว่าเป็นการกางเพื่อทำภารกิจชั่วคราวเท่านั้น
แต่วันรุ่งขึ้นสถานการณ์ยังไม่จบ เมื่อฝั่งกัมพูชาเริ่มมีการเพิ่มกำลังทหารเข้ามาในพื้นที่ชุมชน ขณะที่ฝ่ายไทยมีมวลชนจากส่วนกลางเข้ามาในพื้นที่เป้าหมายเพื่อแสดงออกในการปกป้องอธิปไตย และให้กำลังใจทหารในการปฏิบัติหน้าที่ ประจวบเหมาะกับคณะของ พล.อ.มนัส จันดี เสนาธิการทหาร บก.ทัพไทย และ พล.ต.วันชนะ สวัสดี เสธ.เบิร์ด ลงพื้นที่หนองหญ้าแก้ว-บ้านหนองจาน พร้อมส่งสารถึง “ฮุน เซน-ฮุน มาเนต” ให้จัดการรื้อถอนบ้านของชาวกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามา 18 ครัวเรือน ไม่เช่นนั้นจะใช้มาตรการผลักดันแน่นอน
โดยกองกำลังบูรพาได้วางมาตรการรักษาความปลอดภัย ให้อยู่บริเวณจุดตรวจด้านหน้า ห่างจากแนวลวดหนามประมาณ 400 เมตร ป้องกันการเผชิญหน้าระหว่างประชาชน 2 ฝั่ง
ย้อนกลับไป พื้นที่ “บ้านหนองจาน” อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ระหว่างแนวหลักเขตที่ 46-47 อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังบูรพา ขึ้นตรงยุทธการกับกองทัพภาคที่ 1 กลายเป็นพื้นที่ปัญหาที่มีความทับซ้อนในหลายมิติ กล่าวคือ
-เกี่ยวข้องกับมิติประวัติศาสตร์ความมั่นคง และการต่างประเทศ ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งของศูนย์อพยพ ซึ่งไทยในฐานะ “ม้าอารี” เปิดประตูต้อนรับผู้อพยพชาวกัมพูชาให้พักพิงหนีภัยสงคราม แต่กัมพูชาปักหลัก ยึดที่ทำกิน นานวันกลายเป็นการครอบครองพื้นที่ไปโดยปริยาย
- “วีระ สมความคิด” ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน เคยเป็นแนวร่วมในการต่อสู้กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่แยกตัวออกมาเคลื่อนไหวในนาม “เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ” ถูกจับกุมขณะลงพื้นที่ตรวจสอบเรื่องร้องเรียนว่าทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในเขตไทย บริเวณ อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ถูกจำคุกเป็นเวลาหลายปีก่อนได้รับอภัยโทษ โดยประเด็นบ้านหนองจาน และเรื่องอธิปไตยยังเป็นประเด็นหลักที่สื่อย่านท่าพระอาทิตย์ปักธงเป็นจุดยืนที่ต่อสู้มาโดยตลอด และปัจจุบันทั้ง 2 ส่วนยังมีจุดร่วมในการต่อสู้เรื่องนี้ด้วยกัน และมองการทำหน้าที่ของกองทัพภาคที่ 1 ยังไม่เต็มที่
- ที่ผ่านมา กองกำลังบูรพาและกระทรวงการต่างประเทศได้มีการประท้วงไปหลายครั้ง เพราะการเข้าไปตั้งชุมชน เลยไปถึงที่ตั้งทางทหาร เป็นการละเมิดเอ็มโอยู 43 แต่กัมพูชาก็เพิกเฉยเหมือนทุกพื้นที่
- เมื่อเกิดเหตุการณ์สู้รบขึ้นเมื่อวัน 24-28 ก.ค.ที่ผ่านมา กองทัพบกประกาศแผน “จักรพงษ์ภูวนารถ” ปฏิบัติการทางทหารตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในจุดใดที่มีการรุกล้ำ และสามารถผลักดันไปได้หลายจุด แต่ “บ้านหนองจาน” ที่กลายเป็นพื้นที่เชิงสัญลักษณ์ สามารถเข้าคุมพื้นที่โดยรอบที่ตั้งฐานทหารกัมพูชาได้ประมาณ 120 ไร่ กินพื้นที่อาณาเขตบ้านเรือนราษฎรกัมพูชาประมาณ 70 หลังคาเรือน แต่ยังไปไม่ถึงเส้นปฏิบัติการของไทย เพราะเป็นที่ตั้งบ้านเรือนราษฎร เปรียบเสมือนโล่มนุษย์กลายๆ
กระแสโซเชียลและสื่อสำนักหนึ่งที่ติดตามเรื่องการรุกล้ำอธิปไตยชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงพุ่งเป้าไปที่การปฏิบัติของกองกำลังบูรพา เลยไปถึงตัว “แม่ทัพใหญ่” พล.ท.อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1 ตอกย้ำด้วยคำสัมภาษณ์ของ "วีระ สมความคิด" ที่พุ่งเป้าไปที่ “แม่ทัพใหญ่” ให้ปลดจากตำแหน่ง เพราะบกพร่องในการทำหน้าที่รักษาอธิปไตย
โดยมีรายงานว่า นอกจากไม่พอใจการปฏิบัติของกองทัพภาคที่ 1 ในการรักษาอธิปไตยแล้ว ส่วนหนึ่งก็เกิดจากท่าทีของแม่ทัพภาคที่ 1 เมื่อครั้งที่มูลนิธิในเครือข่ายสื่อแห่งหนึ่งจะบริจาคเงินให้ทหาร แต่แม่ทัพภาคที่ 1 ปฏิเสธที่จะรับโดยตรง และให้ไปประสานกับทางกรมกิจการพลเรือนทหารบก ต่างจากแม่ทัพภาคที่ 2 ที่รับเป็นโดรน ซึ่งมีการตีความว่า แม่ทัพภาคที่ 1 “ไม่อยากจะสังฆกรรม” ด้วย พร้อมทั้งมีการไปผูกโยงกับการที่ พล.ท.อมฤต ซึ่งเป็นน้องรักของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ 1 ใน 3 ป.ที่สื่อสำนักนี้วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วง
พล.ท.อมฤตชี้แจงหลังการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค หรืออาร์บีซี ถึงสภาพพื้นที่ซึ่งแตกต่างกันระหว่างกองทัพภาคที่ 1 โดยเฉพาะที่บ้านหนองจาน มีการตั้งชุมชนต่อเนื่องยาวนาน กับกองทัพภาคที่ 2 ซึ่งเป็นภูเขาและป่า ไม่ใช่ชุมชนขนาดใหญ่ พร้อมย้ำว่าที่ผ่านมากองทัพภาคที่ 1 ให้ความสำคัญในการรักษาอธิปไตย และปฏิบัติการในการยึดพื้นที่คืนมาได้บางส่วน และมีแผนที่จะดำเนินการต่อไป พร้อมระบุว่า การปฏิบัติการเป็นไปตามแผนของกองทัพบก ซึ่งได้พูดคุยกับ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ในการทำงานตลอด
หลังจากที่มีการมองว่า กระแสโจมตี “แม่ทัพใหญ่” สืบเนื่องจาก “โผทหาร” ในการจัดทัพ 5 เสือ ทบ. และการวางคนลงในตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 ซึ่งจะทำหน้าที่เป็น ผบ.ฉก.ทม.รอ. 904 ด้วย หลังจากโครงสร้างของ ฉก.ได้มีการปรับลดขนาดจากเดิมที่ใช้โครงสร้างของกองทัพบกในการสนับสนุนงานของ ทม.ร0อ.904
ย้อนกลับไปเมื่อ “โยกย้ายทหาร” ปีที่แล้ว แม่ทัพใหญ่อาจอยู่ในสถานะของ “พันธมิตรฯ” ร่วมในการจัดวางขุมกำลังของกองทัพบก เพื่อปลดแอกออกจากพันธนาการเดิมๆ “ถอดชนวน” การใช้องคาพยพกองทัพไปใช้ในภารกิจพิเศษ โดย cg หรือจุดศูนย์ดุล อย่างกองทัพภาคที่ 1 ซึ่งเป็นหน่วยคุมกำลังปฏิวัติฯ และไม่ควรเป็น “กล้ามเนื้อนอกบังคับ” ของ ทบ. และควรจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ครบถ้วน สมบูรณ์ก่อน
การสู้รบ-ปะดาบ เมื่อ ส.ค.-ก.ย.67 จึงดุเดือดเลือดพล่าน แต่ “แม่ทัพใหญ่” ฝ่าด่านขยับจากแม่ทัพน้อย ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ได้อย่างหืดขึ้นคอ ไม่ต่างจาก “ผบ.ปู” พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ที่ต้องตีฝ่าทุกแรงต้านก่อนจะขึ้นมาได้
แต่สถานการณ์เปลี่ยน การเขย่าสูตรของเตรียมทหารรุ่นต่างๆ ที่กำลังจะขึ้นมาเป็นระดับ 5 เสือ และ ผบ.หน่วยคุมกำลังกองทัพบกภายใต้การคุมสภาพของ ตท.26 มีความแข็งแกร่งกว่าเมื่อปลายปี 2567 ประกอบกับการเมืองกำลังง่อนแง่น สั่นคลอน ต้องพึ่งพากองทัพบกเป็นอย่างมาก การปรับแผนและการวางคนในกระดานย่อมเปลี่ยนไปตามสภาพการณ์
การจัดโผกองทัพบกของ ผบ.ทบ.ที่มีอำนาจเกือบสมบูรณ์ในตัวเอง จึงเกิดแรงสั่นสะเทือนถึงรุ่นข้างเคียงพอสมควร โดยเฉพาะตำแหน่งแม่ทัพภาค 1 ที่อยู่ในสมการแคนดิเดต ผบ.ทบ.ในปลายปี 2570 ซึ่งจะเป็นการชิงกันระหว่าง ตท.26-27-28 อันเป็นตัวเต็งที่มี “แบ็กอัป” แข็งแกร่งไปคนละแบบ ซึ่ง “โผทหาร” รอบนี้ก็จะทำให้เห็นชัดขึ้นว่า “แบ็กอัป” ของแต่ละฝ่ายจะดันน้องให้ไปต่อในเก้าอี้ 5 เสือ ทบ. หรือนั่งทำงานอีก 1 ปี ไม่มีการขยับเพื่อลดแรงกระเพื่อม
ในขณะที่บ้านหนองจานกลายเป็นสัญลักษณ์สื่อไปถึงใครบางคนที่ยังพอมีอิทธิพลในกองทัพ และมีสัญญาณจะเข้ามาแตะโผอีกครั้ง ส่วนแม่ทัพใหญ่ซึ่งอยู่ในสมการนี้จึงต้องโดนแรงกระแทกไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้.