ยอดผลิต-ส่งออกรถยนต์ EV โตทะลุเป้า รับมาตรการ EV3.0-EV 3.5
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยตัวเลขการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์ในเดือนก.ค. 2568 พบว่า รถยนต์ไฟฟ้า EV เติบโตเพราะราคาเข้าถึงได้มากกว่ารถน้ำมัน เมื่อมาดูยอดผลิตรถยนต์เฉพาะที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า BEV ในเดือน ก.ค.68 พบว่า ไทยสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ 3,610 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 553.99
ส่วนตัวเลขตั้งแต่ ม.ค.-ก.ค.68 ไทยผลิตรถยนต์ไฟฟ้า จำนวน 27,408 คัน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 397.87 ขณะที่การขายรถยนต์ไฟฟ้า BEV มีจำนวน 9,304 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.12 ส่วนการส่งออกรถยนต์นั่งไฟฟ้า 120 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 100 และส่งออกรถกระบะไฟฟ้า 47 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 100
ทั้งนี้ BYD ส่งออก รถEV เป็นครั้งแรกจากฐานการผลิตในประเทศไทย ประเดิมด้วย รุ่น ดอลฟิน (Dolphin) พวงมาลัยซ้าย ล็อตแรกจำนวน 959 คัน ไปยังตลาดยุโรป ประกอบด้วย เยอรมนี เบลเยียม เนเธอร์แลนด์
BYD ยื่นขอต่อสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ บีโอไอ รวม 9 โครงการ รวมมูลค่าลงทุนกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท รวมถึงการผลิตชิ้นส่วนสำคัญอย่างแบตเตอรี่ และระบบส่งกำลัง โดยขณะนี้เป็นการดำเนินการในเฟสแรกของการลงทุน
เป้าหมายแต่เดิมของโรงงานแห่งนี้คือ การเป็นฐานการผลิตรถพวงมาลัยขวาเพื่อทำตลาดในประเทศ และส่งออกไปยังตลาดที่ใช้รถยนต์พวงมาลัยขวาในภูมิภาคอาเซียน แต่ล่าสุด BYD ตัดสินใจขยายการผลิต และส่งออก โดยเพิ่มการผลิตรถพวงมาลัยซ้าย
การปรับแผนการผลิต และส่งออกของ BYD นอกจากเป็นการขยายตลาดแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องการเพิ่มจำนวนการผลิตเพื่อชดเชยการนำเข้ารถมาจำหน่ายตามมาตรการส่งเสริมการใช้งาน EV ระยะเร่งด่วน หรือ EV 3.0
มาตรการดังกล่าวให้นำเข้ารถมาจำหน่าย โดยได้สิทธิพิเศษ ทั้งภาษีนำเข้า 0% ภาษีสรรพสามิต 2% จากปกติ 8% และเงินสนับสนุนโดยตรงสูงสุดคันละ 150,000 บาท แต่ก็มีเงื่อนไขที่ผู้ประกอบการจะต้องดำเนินการหลายเงื่อนไข หนึ่งในเงื่อนไขสำคัญ คือ การผลิตรถในประเทศชดเชยการนำเข้ารถภายใต้โครงการในอัตราส่วน 1 เท่าตัว หากผลิตในปี 67 และ 1.5 เท่าหากผลิตในปี 68
ข้อมูลจากบีโอไอ ระบุ ปัจจุบันมีผู้ประกอบการเข้าร่วมมาตรการ EV3.0 จำนวน 27 บริษัท ประกอบด้วย ผู้ผลิตรถยนต์นั่งและ รถกระบะไฟฟ้า 16 บริษัท และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 11 บริษัท และผู้ประกอบการเข้าร่วมมาตรการ EV3.5 จำนวน 10 บริษัทเป็นผู้ผลิตรถยนต์นั่งและรถกระบะไฟฟ้าทั้งสิ้น
ปัจจุบันมียอดจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้า รุ่นที่เข้าข่ายได้รับสิทธิตามมาตรการ EV3.0 และ EV3.5 รวม 209,623 คัน แบ่งเป็นประเภทรถยนต์ 175,064 คัน และรถจักรยานยนต์ 34,559 คัน
นอกจาก BYD แล้วก็ยังมีผู้ผลิตที่เข้ามาลงทุนในไทยอาทิ MG, GWM, GAC Aion, Changan โดย BYD ซึ่งเป็นผู้ผลิต EV ที่จ้างงานมากที่สุดกว่า 5,900 คน ในจำนวนนี้เป็นคนไทยถึงร้อยละ 88 และวางแผนเพิ่มเป็น 8,000 คนในปี 2569 โดยจะเป็นคนไทยถึงร้อยละ 95 ส่วนผู้ผลิตรายอื่นเพิ่งเริ่มต้นผลิตไม่ถึง 1 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันได้จ้างงานรวมแล้วกว่า 9,600 คน โดยร้อยละ 85 – 95 เป็นบุคลากรไทย ครอบคลุมตั้งแต่ช่างเทคนิค วิศวกร ไปถึงระดับบริหาร และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งมีการฝึกอบรมบุคลากรไทยเหล่านี้ ให้มีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิต EV ที่ทันสมัย ซึ่งจะกลายเป็นองค์ความรู้ที่สำคัญของประเทศต่อไป
ล่าสุดบอร์ดEV เห็นชอบการปรับหลักเกณฑ์การผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ชดเชยตามมาตรการ EV3 และ EV3.5 ให้นับยอดชดเชย 1.5 เท่า สำหรับการผลิตเพื่อส่งออก เพื่อจูงใจเอกชนให้ใช้ไทยเป็นฐานส่งออก พร้อมขยายเวลาจดทะเบียนอีก 1 เดือน และเพิ่มความเข้มข้นในการจ่ายเงินอุดหนุน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของมาตรการ รับมือความผันผวนจากตลาดยานยนต์โลก โดยให้ “ผลิต 1 คัน นับเป็นการผลิตชดเชย 1.5 คัน” สำหรับยานยนต์ที่ผลิตและส่งออกไปต่างประเทศ ตั้งแต่ปี 68 ตามข้อเสนอของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย
แนวทางดังกล่าวจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าขยายตลาดส่งออก โดยคาดว่าจะทำให้จำนวนการส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็นประมาณปีละ 12,500 คัน ในปี 68 และ 52,000 คัน ในปี 69