กองทุนอนุรักษ์พลังงาน เผยยอดขอรับการสนับสนุน ปี 68 ทะลุ 600 โครงการ ย้ำยังเปิดรับถึงวันที่ 17 ก.ย. นี้
กองทุนอนุรักษ์พลังงานเผยยอดขอรับการสนับสนุน ปี 68 ทะลุ 600 โครงการ รวมจำนวนเงิน 7,000 ล้านบาท ย้ำยังเปิดรับถึงวันที่ 17 ก.ย. ปีนี้ ก่อนปิดพิจารณา ลั่นพร้อมปล่อยเงินหนุนโครงการรวมกว่า 3,500 ล้านบาท/ ปี
26 ส.ค. 2568 - นายรัฐฉัตร ศิริพานิช ผู้จัดการสำนักงานบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ส.กทอ.) เปิดเผยว่า กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเป็นทุนหมุนเวียน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ หรืออุดหนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน และการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการอนุรักษ์พลังงานในปีงบประมาณ 2568 นี้ มีผู้สนใจเข้ายื่นขอรับการส่งเสริมแล้วรวม 603 โครงการ วงเงินรวม 7,000 ล้านบาท โดยมีหน่วยงานหลากหลายที่ยื่นเข้ามา ทั้งส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษา องค์กรเอกชนไม่แสวงหาผลกำไร ผู้ประกอบกิจการโรงงานและอาคาร กลุ่มเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และประชาชนในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดาร
"จากความต้องการของผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการในปีงบประมาณ 2568 ทางคณะกรรมการกองทุนฯ จึงได้ขยายระยะเวลาการเปิดรับข้อเสนอโครงการด้านการอนุรักษ์พลังงาน และการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการอนุรักษ์พลังงาน ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 17 ก.ย. 2568 เพื่อเป็นการช่วยผลักดันหน่วยงานให้มีความพร้อมก้าวไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน จึงอยากเชิญชวนหน่วยงานเข้าร่วมยื่นข้อเสนอเพื่อรับทุนสนับสนุน ซึ่งในภาพรวมจะเกิดผลประหยัดพลังงานในวงกว้าง รวมทั้งเพิ่มการใช้พลังงานทดแทนในประเทศมากขึ้นด้วย”นายรัฐฉัตร กล่าว
นายรัฐฉัตร กล่าวว่าที่ผ่านมากองทุนฯ ได้จัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนโครงการด้านการอนุรักษ์พลังงาน และการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการอนุรักษ์พลังงาน ให้แก่ และเกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมในการลดการใช้พลังงานได้มากกว่า 3,573 ktoe คิดเป็นมูลค่ากว่า 50,000 ล้านบาท/ปี ในช่วงปี 2557 ถึงปี 2565 และในปี 2568 นี้ ได้รับงบจัดสรรเพื่อเข้ามาสนับสนุนโครงการที่ยื่นขอรับเข้ามาอีกรวมกว่า 3,500 ล้านบาท/ปี โดยจะยังคงสัดส่วนปริมาณงบดังกล่าวต่อไปอีก 3 ปี เพื่อให้เพียงพอต่อการสนับสนุนและไม่เป็นการกระทบการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนฯจาก ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมามีหลายโครงการที่ไดรับการสนับสนุนและมีการบริหารจัดการที่เห็นผลเป็นรูปธรรม อย่างศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน และศูนย์บริหารจัดการชีวมวลแบบครบวงจร รวมถึงตัวอย่างโครงการศึกษาของสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบโครงการ BCG Model โดยโครงการต้นแบบเมืองอัจฉริยะพลังงานสะอาด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นหนึ่งใน 6 ต้นแบบที่กองทุนฯ ได้จัดสรรงบประมาณ 115,005,500 บาท เพื่อริเริ่ม “โครงการสนับสนุนการออกแบบเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities-Clean Energy)” ในปี 2559 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชนที่ไม่แสวงกำไร สถาบันการศึกษาเพื่อออกแบบพัฒนาเมืองของตัวเองไปสู่เมืองอัจฉริยะ
โครงการมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 32,370 ตันคาร์บอนไดออกไซด์/ปี ใน 20 ปี หรือคิดเป็น 55.5% ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2558 ทั้งนี้ โครงการมีผลประหยัดพลังงานที่เกิดขึ้นจริงได้ 28.62% หรือ 34,220,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง/ปี ลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 51.08% หรือ 32,370.68 ตัน/ปี สามารถผลิตพลังงานจากโซลาร์บนหลังคาได้ 19 เมกะวัตต์ ผลิตไบโอแก๊สจากขยะ 0.3 เมกะวัตต์ และมีโรงไบโอแก๊ส (ไขมันจากโรงอาหาร) 0.5 เมกะวัตต์ รวมผลิตพลังงานได้ 19.8 เมกะวัตต์ หรือเทียบเท่ากับ 51.14%ของพลังงานที่ใช้ทั้งหมด รวมทั้งมีระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) และโซลาร์น้้าร้อน 20,000 ลิตร/วัน
“ผลลัพธ์ที่กองทุนฯ คาดหวังคือ เมืองไทยจะมีแผนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ โดยเฉพาะในบริบทของการลดสภาวะโลกร้อนที่คำนึงถึงการใช้พลังงานสะอาด ช่วยลดพลังงาน ลดคาร์บอน และสร้างเมืองที่น่าอยู่และยั่งยืนสำหรับอนาคตต่อไป มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็เป็นพันธมิตรที่ดีของกองทุนฯ และเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการที่ผ่านมา ที่ได้มีการพัฒนาและยกระดับการดำเนินการพัฒนาเมืองอัจฉริยะอย่างต่อเนื่องจนได้รับรางวัลและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล” ผู้จัดการ ส.กทอ.กล่าว