รวบ 3 ชาวเมียนมา ขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยึดเงินสดกว่า 46 ล้าน
รวบ 3 ชาวเมียนมาขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ฟอกเงินกว่าพันล้าน! ตร.ปอท. ยึดเงินสดคาบ้านพักแม่สอดกว่า 46 ล้านบาท
ตำรวจ กก.3 บก.ปอท.ร่วมกันจับนายอู อายุ 57 ปี สัญชาติเมียนมา บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 4167/2568 ลงวันที่ 18 ก.ค.2568 , นางธิดา อายุ 57 ปี สัญชาติเมียนมา บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 4165/2568 ลงวันที่ 18 ก.ค.2568 , นายเล่า อายุ 54 ปี สัญชาติเมียนมา บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 4168/2568 ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2568
ในความผิดฐาน“ ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น , ร่วมกันเป็นอั้งยี่ , โดยทุจริตหรือหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนอันมิใช่ความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา , สมคบโดยการตกลงตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้สมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน ” โดยจับบริเวณบ้านพัก ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก
การจับครั้งนี้สืบเนื่องจากมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความที่ กก.3 บก.ปอท. ว่าถูกมิจฉาชีพใช้เพจเฟซบุ๊ก การลงทุนเทรดหุ้น ชักชวนให้เข้ากลุ่ม ไลน์ซึ่งมีสมาชิกจำนวนมาก จากนั้นจะมีหน้าม้าในกลุ่มคอยแจ้งว่าสามารถเทรดได้กำไรและถอนเงินได้จริง โดยผู้เสียหายใช้เวลาในการดูในกลุ่มอยู่ประมาณ 2 - 3 เดือน ก่อนตัดสินใจลงทุน
จากนั้นแอดมินกลุ่มจะให้เข้ากลุ่มวีไอพีและติดต่อผ่าน Line Officail ก่อนที่จะให้โหลดแอปพลิเคชันปลอมชื่อ Ulela Max และโอนเงินเพื่อลงทุนเทรดหุ้น โดยจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 10 % โดยในช่วงแรกๆ ผู้เสียหายได้โอนเงินไปยังบัญชีม้านิติบุคคล ชื่อบัญชี บจก.แห่งหนึ่ง จำนวนหลักแสนบาท พบว่าสามารถถอนเงินพร้อมกำไรได้จริง จึงได้โอนเพิ่มขึ้นเป็นหลักล้านบาทอีกหลายครั้ง ไปยังบัญชีม้านิติบุคคล จำนวน 4 บัญชี และ บัญชีม้าบุคคล จำนวน 8 บัญชี รวม 18 ครั้ง เป็นเงินกว่า 20 ล้านบาท โดยใช้เวลาในการโอนและลงทุนดังกล่าวกว่า 2 เดือน ก่อนจะรู้ตัวว่าถูกมิจฉาชีพหลอกและไม่สามารถถอนเงินได้จึงได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกก.3 บก.ปอท.
ต่อมาตำรวจ กก.3 บก.ปอท. ได้ทำการสืบสวนตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่า หลังจากที่บัญชีม้าต่าง ๆ ได้รับเงินแล้วจะมีการเปลี่ยนเงินเป็น Cryptocurrency ผ่านแพลตฟอร์มของไทย จากนั้นจะโอน Cryptocurrency สกุล USDT ต่อไปยัง Private Wallet จำนวนหลายกระเป๋าเพื่อให้ยากต่อการติดตาม โดยพบว่าบัญชีม้าทั้งหมดมีการทำรายการที่ตึกออฟฟิศ ในเมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา
ตำรวจ กก.3 บก.ปอท.ได้ทำการตรวจสอบเส้นทางการเงิน Cryptocurrency พบว่ามีการโอนไปยัง Wallet ของ Huione Pay ของประเทศกัมพูชา เพื่อฟอกเงิน ก่อนจะถูกโอนต่อไปยัง Wallet ของผู้รับผลประโยชน์อีกจำนวนหลาย Wallet ก่อนจะโอนมาให้กับกลุ่มผู้ต้องหาในนคดีนี้ที่เป็นชาวเมียนมา โดยพบว่าจะมีการรับโอน Cryptocurrency สกุล USDT วันละประมาณ 20-30 ล้านบาท แล้วจะเปลี่ยนเป็นเงินสดผ่านแพลตฟอร์ม Cryptocurrency ต่าง ๆ เพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสดเข้าบัญชีธนาคารไทยของกลุ่มผู้ต้องหา และไปถอนเงินสดที่ธนาคารในพื้นที่ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก วันละประมาณ 20 - 30 ล้านบาท
โดยเมื่อถอนเงินแล้วจะนำเงินสดให้ชายเมียนมา ขนข้ามชายแดนบริเวณด่าน ตม.แม่สอด ไปส่งยังฝั่งเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา ต่อไป โดยพบว่ากลุ่มผู้ต้องหามีการถอนเงินสดกว่าเดือนละ 1,000 ล้านบาท ตำรวจ กก.3 บก.ปอท.รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้รวม 28 คน โดยเป็นกลุ่มบัญชีม้า จำนวน 24 คน และ ชาวเมียนมา ผู้รับผลประโยชน์จำนวน 4 คนและได้นำหมายค้นศาลจังหวัดแม่สอด ที่ 1165/2568 เพื่อเข้าตรวจค้นบ้านเป้าหมาย ผลการตรวจค้น ได้จับผู้ต้องหาชาวเมียนมาจำนวน 3 ราย และตรวจยึดเงินสดของกลางจำนวนรวมกว่า 46 ล้านบาทนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ปอท. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย สอบถามคำให้การเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ขอประชาสัมพันธ์เตือนภัยประชาชน สำหรับผู้ที่สนใจจะลงทุนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ขอให้ใช้ความระมัดระวังทุกครั้งก่อนตัดสินใจลงทุน เนื่องจากปัจจุบันพบว่ามีมิจฉาชีพหลอกลวงให้ประชาชนร่วมลงทุนจนได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก โดยมิจฉาชีพมักจะโฆษณาเชิญชวนผ่านทางเพจ อ้างว่าได้ผลตอบแทนที่สูงเกินจริง จากนั้นจะเชิญชวนให้เข้ากลุ่มไลน์ที่มีหน้าม้าซึ่งเป็นขบวนการเดียวกันกับมิจฉาชีพ คอยส่งความเคลื่อนไหวในกลุ่ม แจ้งว่าสามารถถอนเงินได้จริงจนทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ นอกจากนี้ยังพบว่ามิจฉาชีพจะมีการใช้บัญชีม้านิติบุคคลในการรับโอนเงินจากผู้เสียหายเพื่อลวงให้ผู้เสียหายตายใจว่าจะไม่ถูกหลอกอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ สำหรับผู้กระทำความผิดในขบวนการดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการกระทำการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรับ โอน ถือครอง หรือแปลงสภาพทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด จะถือว่ากระทำความผิดฐานฟอกเงิน มีโทษทั้งจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยผู้กระทำผิดจะต้องรับผิดทั้งทางอาญาและทางแพ่งตามกฎหมาย
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- 'เปรมศักดิ์' จี้กระทรวงดีอี จัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เว็บพนัน-เว็บโป๊
- เตือนภัย แก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้างเป็นศูนย์ช่วยเหลือเหยื่อ หลอกโอนเงินซ้ำสอง
- 'ฮุน เซน' ย้ำคำพูด 'ทักษิณ' ไทยศูนย์กลางแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซัด 'คนทรยศชาติ'
ติดตามเราได้ที่