ไทยประณามกัมพูชาทิ้งศพทหาร ละเมิดอนุสัญญาเจนีวา ต้องเคารพร่างผู้เสียชีวิตจากสู้รบ
ศบ.ทก. ย้ำไทยคุมตัวเชลยศึก ตามเงื่อนไขสัญญาเจนีวา ประณามกัมพูชา บิดเบือนข้อมูลฟ้อง OHCHR วอนเขมรเคารพความเป็นมนุษย์ เก็บศพทหารตามธรรมเนียม ขณะ กต.เปิดเกมรุก ใช้เวทีโลก แจงข้อเท็จจริงสถานการณ์ เผยนานาชาติตอบรับ-เห็นใจ พร้อมหนุนแนวทางไทย
4 สิงหาคม 2568 - เมื่อเวลา 12.05 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) แถลงผลการประชุม ศบ.ทก. ว่า สำหรับสถานการณ์ชายแดนไทย- กัมพูชาในห้วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายยังวางกำลังในพื้นที่ ในที่มั่นของตนเองไม่มีการเคลื่อนไหวที่มีนัยสำคัญ ทั้งนี้มีรายงานว่าทางกัมพูชาได้มีการดัดแปลงที่มั่น และมีการเพิ่มเติมกำลังในพื้นที่หลัก ประกอบด้วย ปราสาทตาเหมือนธม ปราสาทตาควาย ช่องโดนเอาว์ ช่องคานม้า ช่องตาเฒ่า สัตตะโสมและภูผี โดยมีการเพิ่มเติมกำลังเข้ามาทดแทนกำลังที่สูญเสียในแต่ละพื้นที่ ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ได้ว่าฝ่ายกัมพูชาได้รับการสูญเสียเป็นจำนวนมาก
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า อย่างที่ทราบกัน เราก็ได้มีการควบคุมตัวเชลยศึกจำนวน 20 นาย ได้ส่งกลับไปแล้ว 2 นาย เนื่องจากบาดเจ็บ 1 นาย และป่วยเป็นจิตเวช 1 นาย ในปัจจุบันอยู่ในการควบคุม 18 นาย ของฝ่ายไทย ทั้งนี้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของกัมพูชา ได้มีการส่งคำร้องไปยังสำนักข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR ) โดยกล่าวหาว่า ฝ่ายไทยได้ควบคุมตัวทหารกัมพูชา ซึ่งผิดกฎหมายระหว่างประเทศ ถือเป็นความพยายามที่บิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างสิ้นเชิง
“ฝ่ายไทยขอประณาม เรื่องการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารต่างๆของกัมพูชาในเรื่องนี้ ซึ่งตนอยากจะชี้แจงให้ทราบว่า ทหารกัมพูชาที่ถูกควบคุมตัวทั้งหมด ถือว่าเป็นเชลยศึก ซึ่งคำว่าเชลยศึกนั้น มีนิยามจำกัดความว่าเป็นผู้สังกัดในกองทัพภาคีคู่พิพาท ซึ่งไทยและกัมพูชา ถือว่าเป็นภาคีอนุสัญญาเจนีวา ซึ่งมีการบ่งชัดในเรื่องของการปฎิบัติต่อเชลยศึก และอนุสัญญาเจนีวาได้มีผลบังคับใช้ในประเทศที่มีสงคราม หรืออยู่ในสภาวะที่ขัดกันด้วยอาวุธ ซึ่งทั้งหมดถือเป็นเงื่อนไขที่เราปฏิบัติต่อผู้ที่ถูกคุมตัวในฐานะเป็นเชลยศึก” พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าว
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวอีกว่า การปฏิบัติของฝ่ายไทยต่อเชลยศึกที่ผ่านมา ได้มีการปฏิบัติโดยมีการเคลื่อนย้ายเชลยทั้งหมดออกจากพื้นที่เสี่ยง รวมถึงได้ดำเนินการจัดให้มีแพทย์ตรวจร่างกายและสุขภาพของเชลยศึก การจัดหาอาหารน้ำดื่ม เสื้อผ้าอย่างเหมาะสม และเพียงพอ ทั้งนี้เราได้มีการปล่อยตัวผู้บาดเจ็บไปแล้ว 2 นาย ทั้งนี้เมื่อสภาวะของการขัดกันด้วยอาวุธ คือสภาวะของการรบนั้นสิ้นสุดลง หน้าที่ของประเทศที่ควบคุมตัวเชลยศึกก็จะมีการปล่อยตัวกลับประเทศ ซึ่งปัจจุบันนี้สถานะนั้นยังไม่สิ้นสุดลง เพราะการแค่หยุดยิงนั้น ไม่ถือว่าเป็นการสิ้นสุดสภาวะการขัดกันด้วยอาวุธ โดยการปฎิบัติที่ผ่านมา เรายังควบคุมตัวไว้ทั้งหมด 18 นาย
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า นอกจากนี้ทางกระทรวงการต่างประเทศได้มีหนังสือแจ้งไปยังสำนักข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ประท้วงข้อกล่าวหาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของกัมพูชา ที่กล่าวหาว่า ไทยละเมิดการปฏิบัติต่อผู้ถูกควบคุมตัวหรือเชลยศึก นอกจากนี้เพื่อเป็นการแสดงความโปร่งใส และเผยแพร่ข้อเท็จจริงให้ประชาคมโลกทราบ ในสัปดาห์นี้ฝ่ายไทยได้เชิญผู้แทนจากคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ สำนักข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติลงพื้นที่ เพื่อเยี่ยมทหารกัมพูชาที่ถูกควบคุมตัว
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าว เรื่องของศพทหารกัมพูชา สังเกตได้ว่า รัฐบาลและกองทัพกัมพูชามีการเพิกเฉย มีการละเลยต่อการปฎิบัติต่อศพทหารของตนเอง ทั้งนี้ประเทศไทยขอเน้นย้ำว่า เรายึดในเรื่องของหลักมนุษยธรรมเสมอมา แม้ว่าเราเป็นฝ่ายถูกกระทำก็ยังเคารพต่อชีวิต และศักดิ์ศรีของมนุษย์ไม่ว่าผู้นั้นจะสังกัดชาติใด โดยการปฏิบัติที่ผ่านมา เราได้เล็งเห็นว่าการปฏิบัติต่อศพของฝ่ายกัมพูชาได้มีการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน มนุษยธรรมสากลขั้นพื้นฐาน คือการทอดทิ้งร่างผู้เสียชีวิต โดยเฉพาะทหารของตนเอง ไม่ใช่เพียงการขัดต่อหลักศีลธรรม แต่ยังเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างชัดเจน โดยอ้างอิงหลักอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 1 และฉบับที่ 4 ว่าด้วย การเก็บรักษาและเคารพร่างผู้เสียชีวิตจากการสู้รบ
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวต่อไปว่า เราเห็นการปฎิบัติของทางฝ่ายกัมพูชาที่ละเมิดเพิกเฉย คือการละเมิดต่อเกียรติยศของกองทัพกัมพูชา คือ การไม่ดำเนินการใดๆ ต่อร่างของทหารที่เสียชีวิตของตนเอง ย่อมสะท้อนถึงการละเลยศักดิ์ศรีของความเป็นทหารของประเทศตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้า น่าเสียใจ และสร้างผลกระทบต่อขวัญและกำลังใจของทหารกัมพูชาที่ยังมีชีวิตอยู่ และครอบครัวของผู้เสียชีวิต ตามที่เราทราบกันในสื่อสังคมออนไลน์ว่า ทางครอบครัวกัมพูชาได้เรียกร้องค้นหาญาติตัวเองที่สูญหาย ซึ่งฝ่ายกัมพูชายังเพิกเฉยต่อกรณีดังกล่าวด้วย รวมถึงเรื่องการจัดการศพที่ขัดต่อหลักศาสนา วัฒนธรรมของกัมพูชา เพราะกัมพูชานับถือศาสนาพุทธ การที่ไม่จัดการศพของทหารตนเอง ถือเป็นการละเมิดหลักศาสนาและขนบธรรมเนียมอันศักดิ์สิทธิ์ของประเทศ
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้เรื่องของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขลักษณะข้ามแดน การปล่อยศพไว้โดยไม่เก็บกู้อาจจะส่งผลต่อสุขลักษณะในพื้นที่ และอาจจะกลายเป็นประเด็นความเดือดร้อนที่ลุกลามเป็นปัญหาข้ามพรมแดนด้วย ถือว่าการรักษาสุขอนามัยต่างๆ นั้น นอกจากเรื่องของกลิ่น เรื่องความสกปรก การแพร่เชื้อโรคต่างๆ ในพื้นที่ ซึ่งเป็นอันตรายต่อประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ปฎิบัติหน้าที่บริเวณชายแดนไทย- กัมพูชา ตนขอวิงวอนและกล่าวไปยังฝ่ายกัมพูชาเรื่องการเคารพสิทธิหลักพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ของประชาชนชาวกัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารที่เสียสละสู้รบให้กับประเทศ
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวต่อไปว่า ขอความร่วมมือประชาชน เรื่องของการงดผลิตหรือเผยแพร่ข่าวปลอมประเด็นต่างๆ เหล่านี้มีผลกระทบต่อความวิตกกังวลของประชาชนในพื้นที่ เช่น กรณีข่าวปลอมที่มีการเคลื่อนย้ายของทหารในพื้นที่ ทำให้เกิดความกังวล ความตื่นตระหนกของประชาชนในพื้นที่ ขอวิงวอนในเรื่องของการผลิต หรือการเผยแพร่ข่าวปลอมนั้นขอให้งด
โฆษก ศบ.ทก. กล่าวว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมามีการตรวจพบการบินโดรนโดยผิดกฎหมายจำนวนมาก โดยปัจจุบันสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศห้ามบินโดรนทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 30 ก.ค. ถึงวันที่ 15 ส.ค.โดยผู้ฝ่าฝืนจะต้องระวังโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยขอเชิญชวนประชาชน โดยเฉพาะพี่น้องทหารผ่านศึก และนักศึกษาวิชาทหารทั่วประเทศ อาศัยความรู้ ความสามารถ ที่ได้ร่ำเรียนมาในเรื่องของการเป็นทหาร ช่วยกันตรวจสอบ โดยเฉพาะในพื้นที่ของทัพภาคที่ 1 ทัพภาคที่ 2 สอดส่องดูว่า มีผู้ไม่ประสงค์ดี หรือประสงค์ร้ายในการดำเนินการพฤติกรรมดังกล่าวหรือไม่
ทั้งนี้หากมีการตรวจพบ ขอให้แจ้งไปที่ศูนย์ต่อต้านโดรน หรือศูนย์แจ้งเหตุใกล้พื้นที่ เช่นสถานีตำรวจท้องที่ หน่วยทหาร หรือหน่วยความมั่นคงที่รับผิดชอบในพื้นที่นั้นๆ เพื่อช่วยดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เราทุกคนไม่ว่าจะเป็น ทหารผ่านศึกหรือนักศึกษาวิชาทหารต่างๆ รวมถึงประชาชน สามารถมีส่วนร่วมได้ เราร่วมกันเป็นทีมไทยแลนด์ เพื่อดูแลความมั่นคงของชาติด้วยกัน
โฆษก ศบ.ทก. กล่าวอีกว่า สำหรับมาตรการเชิงรุก ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะลงพื้นที่ เพื่อตรวจสอบการครอบครองโดรนทั่วประเทศ โดยจะมีการตรวจสอบข้อมูลจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ในเรื่องของผู้ที่ได้รับใบอนุญาตบิน ข้อมูลของผู้ขออนุญาตใช้ความถี่ โดยตำรวจทุกสถานี จะนำข้อมูลต่างๆ ตรวจสอบอากาศยาน การปฎิบัติตามข้อกฎหมายอนุญาต
นอกจากนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะมีการประชาสัมพันธ์ และขอความร่วมมือกับประชาชน และผู้ที่ใช้อากาศยานโดรน ให้ยึดถือ และปฏิบัติตามกฏหมายอย่างเคร่งครัด ทำความเข้าใจกับประชาชนให้ตระหนักในความสำคัญ ไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายตรงข้าม โดยได้ดำเนินการไปแล้วในบางพื้นที่ และพบว่า ยังมีการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบอยู่ ซึ่งได้ทำการตักเตือน และขอความร่วมมือประชาชนในการปฎิบัติตามกฎหมาย ซึ่งต่อจากนี้ไปทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและเด็ดขาด ทั้งนี้ขอให้ประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา สอดส่องดูแลการใช้โดรนที่ผิดกฎหมาย ซึ่งในปัจจุบัน ไม่อนุญาตให้บินโดรนใดๆ ทั่วประเทศไม่ว่าจะเป็นเชิงพาณิชย์หรือเชิงการเกษตร
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวอีกว่า ส่วนกำหนดการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย - กัมพูชา (จีบีซี) ระหว่างวันที่ 4-7 ส.ค.นี้ ขอเน้นย้ำว่าในช่วง วันที่ 4-6 ส.ค. ยังเป็นการประชุมของฝ่ายเลขานุการร่วมของฝ่ายไทยและกัมพูชา ไม่มีประเทศอื่นเข้ามาร่วม จากนั้นในวันที่ 7 ส.ค.จะเป็นการประชุมจีบีซี ซึ่งเป็นการประชุมหลัก โดยองค์ประกอบจะมีเจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งกรมภูมิภาคที่ดูแลชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงกรมสนธิสัญญาที่จะดูแลเรื่องของตัวบทกฎหมาย
นอกจากนี้จะมีผู้แทนกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้แทนกระทรวงกลาโหม คือสำนักนโยบายและแผนกระทรวงกลาโหม รวมถึงกรมพระธรรมนูญ จะเข้าร่วมคณะในการประชุมนอกจากนี้มีผู้แทนกองทัพ ได้แก่ กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร ได้แก่ ทหารบก และทหารอากาศ ประจำกรุงพนมเปญ ซึ่งเป็นผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารไทย
ทั้งหมดนี้คือองค์ประกอบของคณะฝ่ายไทยที่จะเข้าร่วมการประชุมจีบีซี มีคำถามจากประชาชนเยอะว่าผู้สังเกตการณ์จะเข้าร่วมในเวทีไหนได้บ้าง ซึ่งผู้สังเกตการณ์ในโอกาสนี้จะมีจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน จะเข้าร่วมเฉพาะการประชุมหลักในวันที่ 7 ส.ค. ขอยืนยันตามนี้
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวด้วยว่า ขอฝากติดตามข้อมูลข่าวสารข้อเท็จจริงต่างๆสามารถติดตามได้ทางเพจเฟซบุ๊กของศูนย์เฉพาะกิจชายแดนไทยกัมพูชา ทีมไทยแลนด์ ทั้งนี้ทุกท่านสามารถเป็นพลังให้กับประเทศชาติ เรารวมใจไทยเป็นหนึ่ง เราร่วมกันในเรื่องการรักษาดูแลอธิปไตยของประเทศชาติและร่วมต่อสู้กันต่อไปในสภาวะการณ์เช่นนี้เพื่อให้ประเทศชาติเรายั่งยืนและมีความสงบสุขสันติสุขต่อไป
ด้านนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า การดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศ ผ่านสถานเอกอัครราชทูต และสถานกงสุลใหญ่ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ไทย- กัมพูชา ต่อประชาคมโลก โดยตลอดช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมา เอกอัครราชทูต และกงสุลใหญ่ของไทยทั่วโลก รวมถึงผู้บริหารระดับสูง ได้ใช้โอกาสต่างๆ ชี้แจงข้อเท็จจริง และจุดยืนของไทยผ่านช่องทางการทูต และเวทีโลกที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง เช่น การชี้แจงของอธิบดีกรมยุโรปในการประชุม Helsinki +50 ภายใต้กรอบขององค์องค์กรว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSEC)
นอกจากนี้ผู้บริหารระดับสูง และท่านทูตของไทยท่านอื่นๆ ได้เข้าพบกับบุคคลระดับสูงของประเทศต่างๆและให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ เพื่อให้ข้อมูลและตอบข้อสงสัยต่างๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ พร้อมตอกย้ำท่าทีของไทยที่มุ่งแก้ปัญหาอย่างสันติ และการดำเนินการที่มีความโปร่งใส เน้นข้อเท็จจริงโดยไม่บิดเบือน
นางมาระตี กล่าวอีกว่า จากรายงานของท่านทูตไทยทั้งหลายที่ผ่านมาทราบว่าการดำเนินงานของฝ่ายไทยในลักษณะนี้ได้รับการตอบรับด้วยดีจากมิตรประเทศต่างๆ ที่ได้แสดงความเห็นใจ และสนับสนุนแนวทางการดำเนินการของฝ่ายไทย นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศ ยังได้จัดบรรยายสรุปกับคณะทูต และเข้าร่วมกิจกรรมเสวนาที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCCT) เพื่อให้ข้อเท็จจริงกับประชาคมโลกอย่างต่อเนื่อง และเป็นวงกว้าง โดยช่วงเช้าของวันที่ 4 ส.ค. กระทรวงการต่างประเทศได้จัดการบรรยายสรุปแก่คณะทูต และองค์การระหว่างประเทศอีกครั้งเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา มีผู้เข้าร่วม 121 คน จาก 74 ประเทศ 1 องค์กร และอีก 16 องค์การระหว่างประเทศ เป็นการให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน และสถานการณ์ล่าสุด ซึ่งการบรรยายสรุปจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 นับตั้งแต่เกิดสถานการณ์ และได้ชี้แจงข้อเท็จจริงหลายกรณีที่กัมพูชาสร้างข่าวปลอมขึ้นมา ซึ่งรมว.ต่างประเทศ เป็นผู้นำบรรยายเอง
นางมาระตี กล่าวด้วยว่า วันที่ 4 ส.ค.เวลา 18.00 น. ตนและโฆษกศบ.ทก. ฝ่ายความมั่นคง จะไปร่วมเสวนาที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ในหัวข้อ “การรายงานข่าว และแนวทางการศึกษาสาธารณะ เกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา” ซึ่งเปิดให้ทั้งสื่อไทย สื่อต่างประเทศ และสาธารณชน ร่วมกันฟังได้ด้วย เพื่อเป็นช่องทางสำคัญที่จะได้พูดคุยถึงแนวทางการทำงานของเราในเรื่องนี้ และแสดงถึงความพร้อมของพวกเราที่จะแลกเปลี่ยน รับฟังความคิดเห็น และมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อมวลชนอย่างเปิดเผยและสร้างสรรค์เกี่ยวกับประเด็นสำคัญต่างๆ เช่น สงครามข้อมูลข่าวสารและแนวทางบริหารสถานการณ์