“กัณวีร์” หวัง คณะทูตฯ - ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร - สื่อต่างชาติ เสนอความจริงจากฝั่งไทย สู่สายตาชาวโลก
นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม เปิดเผยว่า ตนติดตามการลงพื้นที่ของคณะทูตต่างชาติ ทั้ง 23 ประเทศ แม้จะมาช้ากว่ากัมพูชา แต่ความจริงที่คณะทูตได้เห็นได้ฟังจากผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ย่อมไม่โกหก ซึ่งทั้งที่ปั๊มน้ำมัน และ รพ.สต.ในอำเภอกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ต่างเป็นจุดที่ตนได้ลงพื้นที่ไปก่อนหน้านี้และได้เห็นชัดเจนว่ากัมพูชามีการโจมตีมายังพลเรือนและโรงพยาบาลที่ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ เป็นหลักฐานที่ไทยยืนยันต่อประชาคมโลกได้ว่า เกิดอะไรขึ้นในพื้นที่ชายแดน
รวมถึงการละเมิดข้อตกลง MOU 2543 จนนำมาซึ่งการปะทะตามแนวชายแดน การฝังทุ่นระเบิดที่ละเมิดสนธิสัญญาออตตาวา การละเมิดข้อตกลงหยุดยิงที่มาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 ก.ค.68 ซึ่งการชี้แจงของกองทัพไทยก็ทำให้เห็นชัดเจนถึงการรุกรานของกัมพูชา ทั้งการเสริมกำลังประชิดชายแดน การพุ่งเป้าโจมตีพลเรือน การโจมตีแบบ indiscriminate target ทำให้เกิดการสูญเสียทางพลเรือนของฝ่ายไทย รวมถึงการที่กัมพูชายิงอาวุธจากพื้นที่พลเรือนใช้ชุมชนเป็น “โล่มนุษย์” ซึ่งเป็นการละเมิด International Humanitarians Laws อย่างร้ายแรง รวมถึงการสร้างข่าวปลอมใส่ร้ายไทยเช่นการใช้อาวุธเคมีที่ไม่เป็นความจริง เข้าข่าย war propaganda
นายกัณวีร์ กล่าวอีกว่า ในขณะที่ฝ่ายไทยยืนยันว่าการตอบโต้ของฝ่ายไทยภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ ภายใต้หลักการแห่งการป้องกันตนเอง (Right of Self-Defense) ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรา51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ (Article 51 of the UN Charter) ซึ่งระบุว่า “ไม่มีบทบัญญัติใดในกฎบัตรนี้จะกระทบสิทธิของรัฐในการป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย หากมีการโจมตีด้วยอาวุธเกิดขึ้นต่อรัฐนั้น” และอยู่ภายใต้หลักความจำเป็นและความได้สัดส่วน(Necessity and Proportionality) โดยมีเป้าหมายเพียงเพื่อ ยับยั้งภัยคุกคาม ลดการสูญเสียของพลเรือน และรักษาเสถียรภาพของอธิปไตยแห่งชาติ
"นี่คือสิ่งที่ตนเห็นว่า ไทยต้องยืนยันและชี้แจงต่อเวทีระหว่างประเทศ ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง เช่นเดียวกับที่คณะทูตทุกประเทศคาดหวังจะให้ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชาไปสู่สันติภาพได้จริง" นายกัณวีร์ กล่าวย้ำ