พรรคส้มตำหนิรพ. งดรับผู้ป่วยกัมพูชา
พรรคประชาชนโชว์หล่อ พูดหรูอีกแล้ว! ยกอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยหลักสิทธิมนุษยชนในยามสงคราม ตำหนิ รพ.สรรพสิทธิประสงค์ อุบลฯ เลือกปฏิบัติต่อชาวกัมพูชา หลังออกเอกสารภายในปรับวิธีการทำงานให้สอดคล้องสถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา งดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชาเป็นการชั่วคราวถึง 10 ส.ค. ชี้ทำให้ประเทศไทยเสียหายในเวทีโลก แต่พรรค ปชน.ไม่ได้พูดถึงความปลอดภัยของคนไทยทั้งบุคลากรและผู้ป่วยแม้แต่คำเดียว
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 เพจเฟซบุ๊กพรรคประชาชน (ปชน.) โพสต์ข้อความว่า ทางเดียวของไทย คือต้องกอดหลักมนุษยธรรมตามกฎหมายสากล แก้นโยบายเลือกปฏิบัติโดยด่วน
จากกรณีที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ออกหนังสือประกาศเรื่องการยกเลิกปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้สื่อสารชาวกัมพูชา และการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา โดยมีรายละเอียด คือ
1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารชาวกัมพูชา และจิตอาสาต่างประเทศ 2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว 3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา 4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนรักษาอยู่ในโรงพยาบาล ให้จำกัดพื้นที่ให้ชัดเจน มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม ถึง 10 สิงหาคม 2568
พรรคประชาชนมีความเห็นว่า ประเทศไทยจะสามารถหยัดยืนในเวทีนานาชาติได้อย่างภาคภูมิใจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงสถานการณ์การใช้กำลังปะทะกันระหว่างประเทศนั้น ก็ด้วยการยึดมั่นหลักมนุษยธรรมและหลักกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นหลักประกันว่าประเทศไทยจะไม่ดำเนินการใดๆ ที่ทำให้ไทยเสียเปรียบในเวทีระหว่างประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อนุสัญญาเจนีวา 4 ฉบับ ลงวันที่ 12 สิงหาคม 2492 โดยประเทศไทยได้ลงนามเมื่อปี 2497 ว่าด้วยกฎการทำสงครามและหลักสิทธิมนุษยชนในยามสงคราม โดยเฉพาะภาค 2 ข้อ 12 “ผู้สังกัดในกองทัพและบุคคลอื่นที่จะได้กล่าวถึงในข้อต่อไปนี้ ซึ่งบาดเจ็บหรือป่วยไข้ จะต้องได้รับความเคารพและคุ้มครองในทุกพฤติการณ์ บุคคลเหล่านี้จะต้องได้รับการปฏิบัติและรักษาพยาบาลด้วยมนุษยธรรมโดยคู่พิพาทซึ่งตนตกอยู่ในอำนาจ โดยไม่คำนึงถึงลักษณะความแตกต่างอันเป็นผลเสื่อมเสียเนื่องมาแต่เพศ เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง หรือเหตุอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน…”
การเลือกปฏิบัติของโรงพยาบาลในการรักษาผู้ป่วย ถือว่าขัดต่อหลัก International Humanitarian Law จะทำให้ประเทศไทยเสียหายมากในเวทีโลก และเสี่ยงต่อการถูกกัมพูชานำไปขยายผลในเวทีระหว่างประเทศ
พรรคประชาชนได้รับข้อมูลว่ากระทรวงสาธารณสุขและแพทยสภา รวมถึง ศบ.ทก. ได้รับแจ้งเรื่องนี้แล้ว ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งออกแนวปฏิบัติที่ชัดเจนสอดคล้องกับหลักสากล
พรรคประชาชนขอย้ำอีกครั้งว่า ความขัดแย้งครั้งนี้เป็นเรื่องระหว่างรัฐต่อรัฐ เราไม่ต้องการให้ความขัดแย้งบานปลายกลายเป็นความขัดแย้งเกลียดชังระหว่างประชาชน เพราะถึงที่สุดแล้ว ไทยและกัมพูชายังจะต้องกลับมามีความสัมพันธ์ต่อกันในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่มีการติดต่อแลกเปลี่ยนทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมต่อไป
ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค ปชน. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการประชุม กมธ.วันที่ 31 ก.ค.ว่า เป็นการติดตามเรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมีหลายมิติ ตอนนี้เรื่องการหยุดยิงน่าจะเป็นผลแล้ว แต่สิ่งสำคัญต้องคิดถึงโจทย์ระหว่างประเทศ เพราะพี่น้องประชาชนคนไทยเป็นห่วง ซึ่งในเรื่องการต่อสู้ ยุทธวิธีทางการทหารไม่มีใครห่วง แต่เมื่อพูดถึงแนวทางที่จะรับมือ กับวิธีการต่างๆ ที่กัมพูชาได้มีการดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นการพาผู้ช่วยทูตทหาร สื่อต่างชาติไปลงพื้นที่เมื่อวันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา ตรงกันข้ามประเทศไทยกลับจะพาไปลงพื้นที่ในวันที่ 1 ส.ค. ซึ่งหลายฝ่ายเป็นห่วงตรงกันว่าจะช้าไปหรือไม่
นายรังสิมันต์กล่าวต่อว่า ยกตัวอย่างว่าทางรัฐบาลพาสื่อต่างชาติและทูตประเทศต่างๆ ไปลงพื้นที่ตามแนวชายแดน ถ้าลงพื้นที่วันนี้หรือก่อนหน้านี้ คิดว่าทุกคนจะได้เห็นบรรยากาศการอพยพ ได้พูดคุยกับประชาชนจำนวนมากว่ารู้สึกอย่างไร โดยพาล่ามไปแปลภาษาด้วย เพื่อให้เห็นภาพจริง แต่เมื่อจะไปวันที่ 1 ส.ค. ตนเชื่อว่าประชาชนที่เป็นห่วงบ้านของตนเอง ห่วงวัว ควาย และสัตว์เลี้ยงอื่นๆ เขาก็พยายามทยอยกลับบ้าน ดังนั้นภาพที่จะลงไปเห็นก็ต้องยอมรับว่า ความล่าช้าของเราทำให้เสียโอกาส ในการที่จะทำให้ต่างชาติได้เห็นภาพการกระทำของกัมพูชา ที่มีเป้าหมายโจมตีพลเรือนชัดเจน นี่คือความเสียหายของความล่าช้าของรัฐบาล ซึ่งในที่ประชุม กมธ.จะมีการพูดคุยกันเพื่อสอบถามถึงแนวทางของรัฐบาล ว่าจะมีวิธีการดำเนินการอย่างไรต่อวิธีการของกัมพูชาที่ดำเนินการระหว่างประเทศในทุกรูปแบบ ทุกขั้นตอน แม้กระทั่งประธานสภาของกัมพูชา ก็มีการไปพูดในเวทีสำคัญ ตนคิดว่านี่คือสิ่งที่เราไม่ได้มีการเตรียมการ หรือดำเนินการระหว่างประเทศยังดีไม่พอ
"เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราต้องยอมรับว่าค่อนข้างเสียหาย ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วสถานทูตทั่วโลกตั้งอยู่ในประเทศไทยมากกว่ากัมพูชา ประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ มานาน แต่ต้องยอมรับว่าตั้งแต่รัฐประหารปี 57 เป็นต้นมา บทบาทไทยในเวทีโลกลดลงเรื่อยๆ วันนี้เห็นผลชัดเจนว่า เราต้องเผชิญหน้ากับประเทศที่เล็กกว่าอย่างกัมพูชา กลายเป็นว่าประเทศไทยเสียเปรียบในหลายๆ ด้าน การสู้รบทางการทหารตนเชื่อว่าเราสู้ได้ แต่การสู้รบทางการต่างประเทศเราต้องเร่งสปีดให้มากกว่านี้" นายรังสิมันต์กล่าว
เมื่อถามว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะรัฐบาลอ่อนแอหรือไม่ นายรังสิมันต์กล่าวว่า ปัญหาของรัฐบาลอย่างหนึ่งที่มีนัยสำคัญ คือเรื่องของความชอบธรรม ต้องยอมรับว่าสังคมไม่เชื่อมั่นรัฐบาลแล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพรรคประชาชนจึงเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา แล้วคืนอำนาจให้กับประชาชน เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งแล้วมีรัฐบาลที่มีความชอบธรรมต่อไป เพราะความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลจึงมีคำถามออกมามากมาย แม้กระทั่งกรณีที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย รักษาการนายกรัฐมนตรีไปเจรจากับนายกฯ กัมพูชา ที่ประเทศมาเลเซีย ก็มีคำถามจากคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ไว้ใจในเรื่องของการเจรจาดังกล่าว ซึ่งตนคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาที่ต้องยอมรับว่าคนที่ทำให้ปัญหาเกิดขึ้นคือรัฐบาลเอง
ด้านนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.พรรค ปชน. ในฐานะประธาน กมธ.การทหาร ยืนยันว่า การดำเนินการของกัมพูชามีการจัดฉากและวางเส้นเรื่องไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว รัฐบาลไทยไม่เพียงต้องตอบโต้อย่างรวดเร็ว แต่ต้องชิงความเป็นผู้นำในการสื่อสารกับโลกและประชาคมโลก ไม่เช่นนั้นก็จะตามหลังกัมพูชาอยู่ดี ใครกำลังเผชิญกับการจัดฉาก หลายเรื่องมีการวางแนวทางไว้อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถดำเนินการได้อย่างทันที ข้อผิดพลาดระหว่างประเทศเรื่องความชอบธรรมและการสื่อสารกับประชาคมโลกสำคัญอย่างมาก และไทยอย่าไปตกหลุมพรางที่กัมพูชายั่วยุหรือวางเอาไว้ จนไทยดำเนินการในสิ่งที่ผิดกับหลักมนุษยชน หรือละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
“ผมพูดแบบนี้ หลายคนถามว่าวิโรจน์ไม่กลัวทัวร์ลงหรือ สิ่งที่พวกเราต้องการที่สุดคืออะไร คือการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ ปกป้องอธิปไตยของประเทศใช่หรือไม่ แต่หากผมรู้อยู่แก่ใจว่าเรากำลังเดินเข้าไปสู่หลุมพรางที่กัมพูชาวางเอาไว้ และกัมพูชาจะหยิบยกว่าไทยละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ เมื่อถึงปลายทางปรากฏว่าข้อต่อสู้ต่างๆ ไทยเพลี่ยงพล้ำ เราเสียเปรียบ เสียผลประโยชน์ที่พึงจะมี ผมไม่อยากให้ตัวผมหรือใครเสียใจ ผมเข้าใจความเดือดดาล เข้าใจโทสะของพี่น้องประชาชน แต่ผมก็ยืนยันว่าเรากำลังสู้กับคนที่เส้นเรื่องเอาไว้แล้ว จัดฉากทุกอย่างไว้แล้ว” นายวิโรจน์กล่าว.