โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

หุ้น การลงทุน

ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง…มาเลือกลงทุนหุ้นตัวแรกกัน!!

The Bangkok Insight

อัพเดต 12 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 3 ชั่วโมงที่ผ่านมา • The Bangkok Insight

การเลือกหุ้นเพื่อได้ผลตอบแทนที่ดี แต่ความเสี่ยงต่ำ ควรเริ่มจากการเลือกบริษัทที่มีพื้นฐานดี จากนั้นรอซื้อในราคาที่ถูก อดทนถือหุ้นระยะยาว แต่!!! ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง…มาเลือกลงทุนหุ้นตัวแรกกัน

นายกวี ชูกิจเกษม ประธานเจ้าหน้าที่สายบริหารพอร์ตการลงทุน บล. พาย (PI) ระบุว่า การลงทุนก็คงเหมือนการทำอะไร ๆ หลายอย่าง คือเริ่มต้นดีก็เหมือนประสบความสำเร็จไปกว่าครึ่ง เช่นเดียวกับการลงทุนหุ้นแนวทางแบบเน้นคุณค่า หรือการลงทุนแบบเป็นเจ้าของธุรกิจและลงทุนระยะยาวนั้น การเลือกลงทุนหุ้นพื้นฐานดีถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ถูกต้องและควรศึกษาก่อนที่จะซื้อหุ้นตัวแรก โดยอย่าเชื่อใคร ต้องศึกษาเพื่อให้เลือกลงทุนหุ้นได้ด้วยตัวเอง สามารถฟังข้อมูลคนอื่นเพื่อประกอบการวิเคราะห์ได้เท่านั้น เพราะหากเราไม่รู้ว่าซื้อหุ้นเพราะเหตุใด เราจะไม่รู้ว่าต้องขายหรือไม่หากพื้นฐานระยะยาวเปลี่ยนไปทางลบ

เลือกลงทุนหุ้น

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนหุ้นส่วนใหญ่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่กลับเริ่มการลงทุนด้วยการเชื่อคนอื่นมากกว่าที่จะศึกษาด้วยตัวเอง ดังนั้น จากนี้ไปเรามาเริ่มศึกษาการเลือกหุ้นด้วยตัวเองกันดีกว่า

โดยปกติผมจะมีขั้นตอนการลงทุนหุ้นแบบยั่งยืนอยู่ 5 ขั้นตอนหลัก ๆ ประกอบด้วย

  • เลือกลงทุนหุ้นพื้นฐานดี
  • รอซื้อหุ้นเมื่อราคาถูก
  • อดทนลงทุนระยะยาว
  • กระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ไม่มากเกินไป
  • ติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง

จะเห็นได้ว่าขั้นตอนแรกคือ การเลือกหุ้นพื้นฐานดี อย่าเพิ่งคิดถึงขั้นตอนที่ 2 คือ การซื้อหุ้นเมื่อราคาถูก เพราะการประเมินมูลค่าหุ้นเป็นเรื่องที่เข้าใจยากถึงยากที่สุด อีกทั้งโอกาสในการซื้อหุ้นถูกไม่ได้มาบ่อยนัก โดยจากสถิติของตลาดหุ้นไทยในรอบเกือบ 50 ปี มีวิกฤติที่ทำให้หุ้นลดลงมาประมาณ 50% หรือมากกว่า เพียง 5 ครั้งเท่านั้น หรือเฉลี่ยประมาณ 10 ปีต่อครั้ง ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ช่วง 100 ปีที่ผ่านมา มีช่วงที่หุ้นตกลงมากกว่า 25% เพียง 15 ครั้ง หรือประมาณ 7 ปีครั้ง ดังนั้น เรายังมีเวลาศึกษาเรื่องประเมินหุ้น แต่เราต้องรู้ก่อนว่าหุ้นพื้นฐานดีดูอย่างไร เพราะเมื่อไรหุ้นตกลงมาแรง ๆ เราจะได้มีชื่อหุ้นอยู่ในหัวเราเรียบร้อยแล้ว ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีหุ้นบริษัทเดียว แต่หากจะเป็นหุ้นตัวแรกของเรา ขอเป็นหุ้นที่ดีจริง ๆ เท่านั้น

เอาล่ะ!! เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่าว่าเราจะมีวิธีการเลือกลงทุนหุ้นพื้นฐานดีได้อย่างไร ผมมักใช้วิธีวิเคราะห์ 5 Forces model หรือทฤษฎีแรงกดดันทั้ง 5 ที่มีต่อหุ้นที่เราจะลงทุน ซึ่งเป็นทฤษฎีที่มีมานานแล้ว แต่การใช้ประโยชน์อาจแตกต่างกันในแง่ของการนำไปใช้งาน แต่ในกรณีนี้ขอใช้ทฤษฎีนี้ในเชิงการเลือกหุ้นเพื่อลงทุน โดยวิเคราะห์ว่าบริษัทหรือหุ้นที่เราจะลงทุนนั้นสามารถทนต่อแรงกดดันทั้ง 5 ได้มากน้อยเพียงใด คงไม่มีบริษัทไหนหรอกที่จะอดทนได้ทุกแรง แต่ให้เราวิเคราะห์โดยภาพรวมว่าบริษัทหรือหุ้นที่เราจะลงทุนนั้นอดทนแรงต่าง ๆ ได้มากน้อยแค่ไหนเมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันหรืออีกนัยหนึ่งคือเมื่อเทียบกันคู่แข่ง

เลือกลงทุนหุ้น

โดยแรงกดดันทั้ง 5 ประกอบไปด้วย

  • การแข่งขันกันภายในอุตสาหกรรมเดียวกัน
  • อำนาจต่อรองของลูกค้า
  • อำนาจต่อรองของซัพพลายเออร์
  • ภัยคุกคามจากผู้แข่งขันรายใหม่
  • ภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน

แรงที่ 1 : การแข่งขันในอุตสาหกรรมเดียวกัน ให้วิเคราะห์ว่าในอุตสาหกรรมนั้น ๆ มีการแข่งขันรุนแรงแค่ไหน แล้วบริษัทที่เราจะลงทุนอยู่ในตำแหน่งใดหรือมีส่วนแบ่งตลาดใหญ่แค่ไหน เช่น อุตสาหกรรมค้าปลีก แม้ว่าจะมีการแข่งขันรุนแรง แต่ 7-11 ยังเป็นผู้นำในตลาดร้านสะดวกซื้อ หรือในธุรกิจโทรคมนาคม แม้ว่าจะมีคู่แข่งเพียง 4 ราย แต่ AIS คือผู้นำในตลาด เมื่อเทียบกับ TRUE DTAC และ NT เป็นต้น โดยนอกจากบริษัทในประเทศแล้ว บางธุรกิจเราอาจต้องเปรียบเทียบกับคู่แข่งในต่างประเทศด้วย เช่น ธุรกิจสายการบินที่จะมองเพียงสายการบินในประเทศไม่ได้ เพราะสายการบินต่างประเทศก็บินเส้นทางเดียวกันเต็มไปหมด

แรงที่ 2 : อำนาจต่อรองของลูกค้า แรงกดดันนี้สำคัญมาก บริษัทไหนที่ลูกค้ามีอำนาจต่อรองได้น้อยจะเป็นบริษัทที่สามารถสร้างกำไรได้ดีในระยะยาว อำนาจต่อรองไม่ได้หมายถึงเอาเปรียบลูกค้านะครับ แต่เป็นความสามารถของบริษัทที่สามารถรักษาคุณภาพหรือภาพลักษณ์ของสินค้าหรือบริการได้ดีมาก จนลูกค้ามีความภักดีต่อสินค้าสูงมาก หรืออธิบายแบบง่าย ๆ คือบริษัทขายสินค้าที่มีแบรนด์เนมดีนั่นเอง เช่น แบรนด์ APPLE, Coca Cola, Pepsi, HERMES, Patek Phillipe, HP, Xiaomi, Samsung, Sony, Microsoft, Amazon, Google, Adidas, Nike, Zara, Walmart, Marriott, TikTok, Pfizer และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งแบรนด์เหล่านี้หากมีคุณภาพสินค้าหรือบริการไม่ดีคงไม่สามารถทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำได้เป็นแน่ โดยการมีอำนาจต่อรองกับลูกค้าได้สูง จะทำให้บริษัทสามารถเพิ่มราคาสินค้าหรือบริการได้สูงเมื่อมีความจำเป็นต้องเพิ่มราคา ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ในระยะยาว

เลือกลงทุนหุ้น

แรงที่ 3 : อำนาจต่อรองของซัพพลายเออร์ หมายถึงบริษัทมีอำนาจต่อรองกับผู้ขายวัตถุดิบได้ เช่น โรงพยาบาลมีอำนาจต่อรองกับบริษัทผู้ผลิตยามากน้อยแค่ไหน ร้านสะดวกซื้อ 7-11 มีอำนาจต่อรองกับคนที่จะเอาสินค้าเข้ามาขายในร้านแค่ไหน PTT มีอำนาจต่อรองราคากับผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ได้หรือไม่ ผู้ผลิตไฟฟ้าสามารถเดินไปบอกบริษัทขายก๊าซว่าช่วยลดราคาก๊าซให้หน่อยซิ ต้นทุนผลิตไฟฟ้าของฉันสูงเกินไปแล้วนะ ยิ่งบริษัทมีอำนาจต่อรองได้มากเท่าไร ก็จะได้เปรียบบริษัทคู่แข่งที่มีอำนาจต่อรองได้น้อยกว่า ดังนั้น บริษัทใหญ่ ๆ ที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมมักจะเป็นผู้ได้เปรียบ เพราะเวลาสั่งของหรือวัตถุดิบจะสั่งเป็นจำนวนมากและมักจะได้รับส่วนลด

แรงที่ 4 : คู่แข่งที่จะเข้ามาใหม่ โดยให้วิเคราะห์ว่าอุตสาหกรรมที่เราจะลงทุนมีคู่แข่งเข้ามาได้ง่ายหรือยาก แต่อย่าวิเคราะห์เฉพาะบริษัทคู่แข่งจากในประเทศเท่านั้น ให้วิเคราะห์ว่าบริษัทต่างประเทศจะเข้ามาแข่งขันได้ยากหรือง่ายด้วย เช่น ธุรกิจสื่อสารที่ต้องขอสัมปทานและราคาแพงมาก ซึ่งยากที่จะมีคู่แข่งเข้ามาใหม่ ในขณะที่ธุรกิจร้านอาหาร คู่แข่งเข้ามาใหม่ได้เสมอ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เป็นต้น ดังนั้น การลงทุนในบริษัทที่เป็นผู้นำในธุรกิจและมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง จะเป็นเกราะป้องกันที่ดีสำหรับแรงกดดันเรื่องคู่แข่งที่จะเข้ามาใหม่ได้เป็นอย่างดี

แรงที่ 5 : สินค้าทดแทน แรงกดดันนี้แรงมาก แรงถึงขนาดทำให้บริษัทต้องออกจากธุรกิจหรือล้มละลายไปเลยก็มี ปัจจุบันมักเรียกแรงนี้ว่า Disruption ซึ่งกรณีศึกษาที่คลาสสิคมากคือ ธุรกิจฟิล์มถ่ายรูปที่ถูกแทนที่ด้วยกล้องถ่ายรูปดิจิตอล iPhone เข้ามาล้ม Nokia หรือการเกิดขึ้นของ E-commerce ได้ทำให้ธุรกิจขายสินค้าได้รับผลกระทบ หรือตัวอย่างของประเทศไทย ร้านโชว์ห่วยที่ถูกร้านสะดวกซื้อรูปแบบใหม่แย่งลูกค้าไปหมด เป็นต้น ในอนาคตรถยนต์ไฟฟ้าคงเข้ามาแทนที่รถยนต์สันดาป บริการทางการเงินที่อาจไม่ต้องอาศัยธนาคาร หรือการซื้อขายหุ้นที่อาจไม่จำเป็นต้องมีโบรกเกอร์ และอื่น ๆ อีกมากมายที่ไม่อาจคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ ดังนั้น หากเกิดขึ้นเราต้องพร้อมที่จะขายหุ้นทันที อย่างไรก็ตาม การกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปในหลากหลายธุรกิจก็จะช่วยลดแรงกดดันเรื่องนี้ไปได้พอควร

เลือกลงทุนหุ้น

นอกจากแรงกดดันทั้ง 5 ที่เราต้องวิเคราะห์แล้ว เราควรต้องตั้งคำถามเพิ่มอีก 1 คำถาม คือ หากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจใหญ่ ๆ อย่างวิกฤติต้มยำกุ้ง วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ หรือล่าสุดวิกฤติ COVID-19 ในอนาคตข้างหน้า บริษัทที่เราลงทุนจะสามารถทนต่อภาวะวิกฤติได้หรือไม่ ซึ่งหากเรายังวิเคราะห์แรงกดดันทั้ง 5 ไม่ได้ หรือตอบคำถามไม่ได้ว่าบริษัทที่เราจะลงทุนจะผ่านวิกฤติใหญ่ ๆ ไปได้หรือไม่ เราก็ยังไม่พร้อมที่จะเลือกหุ้นตัวแรกลงทุน แต่ไม่ได้หมายความว่าให้เลิกความตั้งใจลงทุนหุ้นนะครับ เพียงแต่เราคงต้องเรียนรู้เพิ่มขึ้น และอาจต้องอาศัยประสบการณ์ด้วย ซึ่งประสบการณ์อาจเรียนรู้จากนักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จก็ได้ แต่หากยังไม่มั่นใจในการเลือกหุ้นด้วยตัวเอง การลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้นก็ยังเป็นทางเลือกที่ดี ซึ่งเรื่องนี้ผมย้ำเป็นประจำ ดังนั้น สำคัญที่สุดคือ จะเริ่มลงทุนหุ้นด้วยตัวเอง ต้องมีความรู้และความมั่นใจพอเท่านั้น ไม่ต้องรีบร้อน ตลาดหุ้นไม่ได้หายไปไหน จะยังคงอยู่กับเราอีกนานมากครับ

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน

ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก The Bangkok Insight

‘เคน ภูภูมิ’ ควง ‘เอสเธอร์’ มาดู อาณาจักรที่ดิน 200 ไร่ทำสวนทุเรียน

7 นาทีที่แล้ว

‘พลังงานไฮโดรเจน’ เส้นทางสู่ ‘อุตสาหกรรมปลอดคาร์บอน’

11 นาทีที่แล้ว

กลาโหมกัมพูชา ออกแถลงการณ์ อ้าง ‘แม่ทัพภาค 2’ พยายามยั่วยุ เพื่อรุกรานเขมร

16 นาทีที่แล้ว

เปิดวาร์ป อรอุ๋ง หรือ อร อดีตสมาชิก BNK48 โปรไฟล์เริ่ดมาก

56 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความหุ้น การลงทุนอื่น ๆ

ฟิทช์ ให้เรทติ้งหุ้นกู้สกุลบาท “ไทยเบฟ” วงเงิน 28,000 ลบ. ที่ AA นำเงินคืนหนี้

การเงินธนาคาร

ทองดิ่งแรง สหรัฐเตรียมออกคำสั่งชี้แจงปมเก็บภาษีนำเข้าทองแท่ง

ประชาชาติธุรกิจ

แนวโน้มราคาทองวันนี้ (11 ส.ค. 68) บทวิเคราะห์โดย YLG Bullion

ประชาชาติธุรกิจ

“ตลาดหุ้นเอเชีย” เปิดผันผวน นักลงทุนจับตาขยายเวลาพักรบภาษีสหรัฐ–จีน

การเงินธนาคาร

ราคาทองวันนี้ 11 ส.ค. เปิดตลาดร่วงแรง 250 บาท รูปพรรณขายออก 52,500 บาท

The Bangkok Insight

สายปันผลห้ามพลาด! รวบตึงหุ้น XD ครึ่งหลัง ส.ค.68

Wealthy Thai

ราคาทองวันนี้ (11 ส.ค.) เปิดตลาดร่วง 250 บาท เช็กราคาทองแท่ง-รูปพรรณล่าสุด

The Better

จับตาประชุม กนง. 13 ส.ค. ‘CIMBT’ ชี้ลดดอกเบี้ย ช่วยพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ทรุดหนัก

The Bangkok Insight

ข่าวและบทความยอดนิยม

ส่องทิศทางหุ้นไทยสัปดาห์หน้า ให้กรอบ 1,215-1,300 จุด จับตาผลประชุม กนง.

The Bangkok Insight

หุ้นวันนี้ปิดร่วง 6.08 จุด ปรับตัวลงใกล้เคียงกับภูมิภาค จับตาผลประชุม กนง.

The Bangkok Insight

หุ้นเช้าวันนี้เปิดร่วง 3.78 จุด ดัชนีแกว่งไซด์เวย์พักฐานก่อนหยุดยาว ผิดหวัง MSCI

The Bangkok Insight
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...