โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

เคาะอาวุธเชิงยุทธศาสตร์ช่วงถก ‘จีบีซี’ โดดเดี่ยวคู่สงคราม-แสวงหาพันธมิตร

ไทยโพสต์

อัพเดต 6 สิงหาคม 2568 เวลา 5.17 น. • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นตัวแทนของรัฐบาลในการไปลงนามกับบริษัท SABB สวีเดน ผู้ผลิตเครื่องบินขับไล่โจมตี Gripen E/F ในช่วงปลายเดือนนี้ และอนุมัติให้ผู้บัญชาการทหารเรือเป็นตัวแทนไปลงนามแก้ไขสัญญาเรือดำน้ำเพื่อเปลี่ยนมาเป็นเครื่องยนต์จีน รวมถึงการขยายระยะเวลาโครงการ หลังจากวาระดังกล่าวค้างอยู่ที่รัฐบาลหลายสัปดาห์ ก่อนที่เหตุการณ์สู้รบที่ชายแดนไทย-กัมพูชาจะปะทุ

นอกจากช่วงเวลาในการลงนามกับสวีเดนกำลังใกล้เข้ามา และปมปัญหาเครื่องยนต์เรือดำน้ำจะยื้อไปเรื่อยๆ ต่อไปไม่ได้แล้วนั้น ยังมีสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสองชาติเป็นตัวกระตุ้นให้รัฐบาลต้องรีบตัดสินใจ สอดคล้องกับท่าทีของ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รักษาราชการแทนนายกฯ ผู้ที่เสนอวาระพิจารณา เพราะเคยรับปากกับเหล่าทัพไว้ก่อนที่ตนจะพ้นจากเก้าอี้ รมว.กลาโหม ในการสนับสนุนการพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถให้กองทัพ ในจังหวะเวลาที่รัฐบาลกำลังง่อนแง่น

ในช่วงจังหวะเวลานี้ ส่วนหนึ่งย่อมมีผลเชิงยุทธศาสตร์และจิตวิทยาในการเพิ่มน้ำหนักการต่อรอง ระหว่างกระบวนการเจรจาของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา (จีบีซี) ซึ่งต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด ไม่ให้ผลการเจรจากลับไปมีผลลัพธ์เหมือนเช่นหลังเหตุการณ์สู้รบเมื่อปี 2554 ที่กำลังทหารทั้งสองฝ่ายกลับมาอยู่ในพื้นที่อ้างสิทธิ์หลังจากรบกันเสร็จ

ซึ่งเมื่อดูจากท่าทีและทิศทางของ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ซึ่งมีสถานะเป็นรัฐมนตรีของรัฐบาลนี้ และขณะเดียวกันก็เป็นพี่ของน้องๆ ผบ.เหล่าทัพด้วย รวมถึง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ที่ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า "จะไม่มีการถอยแนวทหาร" จากที่ยึดเอาไว้ได้อยู่แน่นอน เพราะเป็นพื้นที่อธิปไตยตามเส้นปฏิบัติการที่ยึดจากแผนที่ 1:50,000 ก็เชื่อมั่นได้ว่า การประชุมจีบีซีครั้งนี้จะไม่ทำให้ไทยเสียเปรียบ

และเป็นช่วงที่ไทยใช้ทั้งช่องทางการทูตของกระทรวงการต่างประเทศ และช่องทางทหารในการใช้ผู้ช่วยทูตทหารในการเดินเกม "โดดเดี่ยวคู่สงคราม-แสวงหาพันธมิตร" โดยเฉพาะขยายผลข้อเท็จจริงในการปฏิบัติของกัมพูชาที่บิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ฝ่าฝืนกฎหมาย กติการะหว่างประเทศ

ตีกรอบให้ปัญหาจำกัดวงอยู่ใน 2 ประเทศ โดยมีอาเซียนเข้ามามีส่วนร่วมเป็นตัวกลาง ขณะเดียวกันก็ให้สถานะมหาอำนาจเข้ามาเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์เท่านั้น ไม่ใช่เป็นผู้กำหนดเกมอย่างที่ฝ่ายตรงข้ามต้องการ

ต้องยอมรับว่าในการเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกันนั้น ย่อมต้องอยู่ในข้อตกลงที่สองฝ่ายรับได้ โดยฝ่ายไทยต้องจัดลำดับความสำคัญของปัญหา เพื่อจำแนกว่าสิ่งใดรับได้ หรือรับไม่ได้ เช่น

-ประเด็นการให้ถอนทหาร หรือการไม่ยอมให้อีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในพื้นที่เดียวกับเรา ถือเป็นความสำคัญสูงสุด

-ความร่วมมือในการเก็บกู้วัตถุระเบิดที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน เพราะหมายถึงชีวิตของทหารชายแดนที่อยู่ในความเสี่ยง

-เอ็มโอยู 43 ที่ยังไม่ถูกยกเลิก แต่ฝ่ายไทยถูกละเมิดข้อตกลงมาตลอด จะมีทางออกอย่างไร รวมถึงเอ็มโอยู 44 ซึ่งเกี่ยวข้องกับเขตแดนทางทะเล ยังมีข้อถกเถียงในเรื่องแนวทางการปฏิบัติ จะมีการจัดทำแนวทางการอยู่ร่วมกันภายใต้เขตแดนที่ยังไม่ชัดเจนกันอย่างไร

-ข้อตกลงในเรื่องแผนที่จะเดินหน้าอย่างไร เพราะต่างฝ่ายต่างยึดแผนที่ของตัวเอง โดยต้องพูดคุยกันอย่างจริงจัง และเดินหน้ากลไกเจบีซี เพิ่มการสำรวจหลักเขตที่เหลือให้เสร็จสิ้น

-จัดให้มีทีมในการสังเกตการณ์การแก้ไขปัญหา โดยมีประเทศที่สามเป็นพยาน เพื่อไม่ให้ฝ่ายใดฝ่าฝืน

ดังนั้น การมีผู้แทนของ "สหรัฐฯ" และ "จีน" เข้ามาเป็นผู้สังเกตการณ์ สามารถใช้เป็นเครื่องมือมัดคอฝ่ายกัมพูชาที่มักจะฝ่าฝืนมาตลอด ให้ปฏิบัติตามในข้อตกลงที่บรรลุผล ไม่ให้บิดพลิ้วเหมือนที่ได้ทำมาตลอด โดยทั้งสองชาติมหาอำนาจไม่ได้เข้ามาในฐานะชี้นำทางด้านความมั่นคง

อันเป็นคนละเรื่องกับการที่ “ทรัมป์” ใช้เรื่องอัตรากำแพงภาษีกดดันให้ “ไทย-กัมพูชา” หยุดยิงก่อนวันที่ 1 ส.ค. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ “ทรัมป์” ต้องการแสดงบทบาทของตัวเองในฐานะผู้นำประเทศมหาอำนาจ

เมื่อประกอบกับการที่ ครม.อนุมัติเปลี่ยนเครื่องยนต์จีนติดตั้งในเรือดำน้ำ S26T เดินหน้าโครงการต่อไปได้ ทำให้ไทยจะมีอาวุธเชิงยุทธศาสตร์จากจีนประจำการอยู่ในฝั่งอ่าวไทยของเรา หลังกัมพูชากำลังหันหัวเปลี่ยนทิศไปซบสหรัฐฯ

ท่าทีของจีนในการไม่สนับสนุนให้กัมพูชาใช้อาวุธเชิงรุกและเชิงป้องกัน ที่จีนเคยให้เปล่าหรือขายให้ในราคาถูก เช่น ขีปนาวุธ PHL03 ในการต่อสู้กับไทย ถือเป็นเครื่องยืนยันว่า “จีน” ไม่ได้ยืนอยู่ข้างกัมพูชาในเกมนี้ จึงมีความเป็นไปได้สูงว่านโยบายของจีนจะกลับมาให้ความสำคัญกับไทยในด้านอื่นๆ เช่นเศรษฐกิจ

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ไทยจะผละจากความเป็นพันธมิตรที่ยาวนานกับสหรัฐฯ แต่เป็นการรักษาสมดุลในความสัมพันธ์กับทุกประเทศ โดยไม่ได้นำผลประโยชน์ของชาติเข้าไปแลก

เช่นเดียวกับเวียดนาม ที่ไม่ต้องการให้พื้นที่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็น Proxy War ของมหาอำนาจ และต้องการให้การสู้รบจบใน “อาเซียน” ลดปัจจัยการขยายวงไปมากกว่านี้

ไม่ต่างจากมาเลเซีย เมียนมา สิงคโปร์ และลาว ที่ล้วนต้องการตีกรอบให้ปัญหาจำกัดวง และคาดหวังให้ผลการเจรจาเป็นไปในทิศทางบวก และจบความขัดแย้งในสนามรบอย่างรวดเร็วและยั่งยืน

ทีมการผูกมิตร-จับมือกับประเทศต่างๆ จึงมีความสำคัญยิ่ง เพราะทุกชาติย่อมมองเห็นผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก และไม่ต้องการให้พื้นที่อาเซียนเป็นเหมือนรัสเซีย-ยูเครน.

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ไทยโพสต์

‘เท้ง’ กลัวข่มเหงเขมร

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

‘กระรอก’จะเห็นโพรงไหม?

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

วิดีโอ

สาวเขมร พยายามโยง GPS วิถีลูกจรวด BM21 จากเขมร มาไทย อ้าง ระยะสูงสุดของพวกเขาอยู่ที่ 30-40 กม.

BRIGHTTV.CO.TH

ตาควัก ‘เหรียญ-แบงก์’ จ่ายค่าปรับแทนยาย ตร.ฮีลใจมอบหมวกกันน็อกให้ฟรี

เดลินิวส์

จับทหารเขมรBHQองครักษ์พิทักษ์ฮุนเซน คาดมาฝังตัวส่งความเคลื่อนไหว

Khaosod

"เรวัช" จี้ "หมอปลาย" ขอโทษสังคม ปมทำนายเกิดสงคราม เปิดสาเหตุ กัมพูชาไม่เก็บศพทหาร

Manager Online

อินเดียกล่าวหาสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ สองมาตรฐาน

JS100

“ดร.ตฤณห์”ซัดแรง! “วิชาสื่อวิญญาณไม่มีจริง” ชี้มิจฉาชีพแฝงตัวในคราบผู้วิเศษ

เดลินิวส์

‘หมอหมู’ สะท้อนข้อคิดจากศพ แค่คำถามธรรมดา อาจช่วยชีวิตคนได้

เดลินิวส์

รถกระบะเฉี่ยวชนคนข้ามถนน สาวนิรนามบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา จ.กาญจนบุรี

สวพ.FM91

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...