เคาะอาวุธเชิงยุทธศาสตร์ช่วงถก ‘จีบีซี’ โดดเดี่ยวคู่สงคราม-แสวงหาพันธมิตร
คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นตัวแทนของรัฐบาลในการไปลงนามกับบริษัท SABB สวีเดน ผู้ผลิตเครื่องบินขับไล่โจมตี Gripen E/F ในช่วงปลายเดือนนี้ และอนุมัติให้ผู้บัญชาการทหารเรือเป็นตัวแทนไปลงนามแก้ไขสัญญาเรือดำน้ำเพื่อเปลี่ยนมาเป็นเครื่องยนต์จีน รวมถึงการขยายระยะเวลาโครงการ หลังจากวาระดังกล่าวค้างอยู่ที่รัฐบาลหลายสัปดาห์ ก่อนที่เหตุการณ์สู้รบที่ชายแดนไทย-กัมพูชาจะปะทุ
นอกจากช่วงเวลาในการลงนามกับสวีเดนกำลังใกล้เข้ามา และปมปัญหาเครื่องยนต์เรือดำน้ำจะยื้อไปเรื่อยๆ ต่อไปไม่ได้แล้วนั้น ยังมีสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสองชาติเป็นตัวกระตุ้นให้รัฐบาลต้องรีบตัดสินใจ สอดคล้องกับท่าทีของ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รักษาราชการแทนนายกฯ ผู้ที่เสนอวาระพิจารณา เพราะเคยรับปากกับเหล่าทัพไว้ก่อนที่ตนจะพ้นจากเก้าอี้ รมว.กลาโหม ในการสนับสนุนการพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถให้กองทัพ ในจังหวะเวลาที่รัฐบาลกำลังง่อนแง่น
ในช่วงจังหวะเวลานี้ ส่วนหนึ่งย่อมมีผลเชิงยุทธศาสตร์และจิตวิทยาในการเพิ่มน้ำหนักการต่อรอง ระหว่างกระบวนการเจรจาของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา (จีบีซี) ซึ่งต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด ไม่ให้ผลการเจรจากลับไปมีผลลัพธ์เหมือนเช่นหลังเหตุการณ์สู้รบเมื่อปี 2554 ที่กำลังทหารทั้งสองฝ่ายกลับมาอยู่ในพื้นที่อ้างสิทธิ์หลังจากรบกันเสร็จ
ซึ่งเมื่อดูจากท่าทีและทิศทางของ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ซึ่งมีสถานะเป็นรัฐมนตรีของรัฐบาลนี้ และขณะเดียวกันก็เป็นพี่ของน้องๆ ผบ.เหล่าทัพด้วย รวมถึง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ที่ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า "จะไม่มีการถอยแนวทหาร" จากที่ยึดเอาไว้ได้อยู่แน่นอน เพราะเป็นพื้นที่อธิปไตยตามเส้นปฏิบัติการที่ยึดจากแผนที่ 1:50,000 ก็เชื่อมั่นได้ว่า การประชุมจีบีซีครั้งนี้จะไม่ทำให้ไทยเสียเปรียบ
และเป็นช่วงที่ไทยใช้ทั้งช่องทางการทูตของกระทรวงการต่างประเทศ และช่องทางทหารในการใช้ผู้ช่วยทูตทหารในการเดินเกม "โดดเดี่ยวคู่สงคราม-แสวงหาพันธมิตร" โดยเฉพาะขยายผลข้อเท็จจริงในการปฏิบัติของกัมพูชาที่บิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ฝ่าฝืนกฎหมาย กติการะหว่างประเทศ
ตีกรอบให้ปัญหาจำกัดวงอยู่ใน 2 ประเทศ โดยมีอาเซียนเข้ามามีส่วนร่วมเป็นตัวกลาง ขณะเดียวกันก็ให้สถานะมหาอำนาจเข้ามาเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์เท่านั้น ไม่ใช่เป็นผู้กำหนดเกมอย่างที่ฝ่ายตรงข้ามต้องการ
ต้องยอมรับว่าในการเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกันนั้น ย่อมต้องอยู่ในข้อตกลงที่สองฝ่ายรับได้ โดยฝ่ายไทยต้องจัดลำดับความสำคัญของปัญหา เพื่อจำแนกว่าสิ่งใดรับได้ หรือรับไม่ได้ เช่น
-ประเด็นการให้ถอนทหาร หรือการไม่ยอมให้อีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในพื้นที่เดียวกับเรา ถือเป็นความสำคัญสูงสุด
-ความร่วมมือในการเก็บกู้วัตถุระเบิดที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน เพราะหมายถึงชีวิตของทหารชายแดนที่อยู่ในความเสี่ยง
-เอ็มโอยู 43 ที่ยังไม่ถูกยกเลิก แต่ฝ่ายไทยถูกละเมิดข้อตกลงมาตลอด จะมีทางออกอย่างไร รวมถึงเอ็มโอยู 44 ซึ่งเกี่ยวข้องกับเขตแดนทางทะเล ยังมีข้อถกเถียงในเรื่องแนวทางการปฏิบัติ จะมีการจัดทำแนวทางการอยู่ร่วมกันภายใต้เขตแดนที่ยังไม่ชัดเจนกันอย่างไร
-ข้อตกลงในเรื่องแผนที่จะเดินหน้าอย่างไร เพราะต่างฝ่ายต่างยึดแผนที่ของตัวเอง โดยต้องพูดคุยกันอย่างจริงจัง และเดินหน้ากลไกเจบีซี เพิ่มการสำรวจหลักเขตที่เหลือให้เสร็จสิ้น
-จัดให้มีทีมในการสังเกตการณ์การแก้ไขปัญหา โดยมีประเทศที่สามเป็นพยาน เพื่อไม่ให้ฝ่ายใดฝ่าฝืน
ดังนั้น การมีผู้แทนของ "สหรัฐฯ" และ "จีน" เข้ามาเป็นผู้สังเกตการณ์ สามารถใช้เป็นเครื่องมือมัดคอฝ่ายกัมพูชาที่มักจะฝ่าฝืนมาตลอด ให้ปฏิบัติตามในข้อตกลงที่บรรลุผล ไม่ให้บิดพลิ้วเหมือนที่ได้ทำมาตลอด โดยทั้งสองชาติมหาอำนาจไม่ได้เข้ามาในฐานะชี้นำทางด้านความมั่นคง
อันเป็นคนละเรื่องกับการที่ “ทรัมป์” ใช้เรื่องอัตรากำแพงภาษีกดดันให้ “ไทย-กัมพูชา” หยุดยิงก่อนวันที่ 1 ส.ค. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ “ทรัมป์” ต้องการแสดงบทบาทของตัวเองในฐานะผู้นำประเทศมหาอำนาจ
เมื่อประกอบกับการที่ ครม.อนุมัติเปลี่ยนเครื่องยนต์จีนติดตั้งในเรือดำน้ำ S26T เดินหน้าโครงการต่อไปได้ ทำให้ไทยจะมีอาวุธเชิงยุทธศาสตร์จากจีนประจำการอยู่ในฝั่งอ่าวไทยของเรา หลังกัมพูชากำลังหันหัวเปลี่ยนทิศไปซบสหรัฐฯ
ท่าทีของจีนในการไม่สนับสนุนให้กัมพูชาใช้อาวุธเชิงรุกและเชิงป้องกัน ที่จีนเคยให้เปล่าหรือขายให้ในราคาถูก เช่น ขีปนาวุธ PHL03 ในการต่อสู้กับไทย ถือเป็นเครื่องยืนยันว่า “จีน” ไม่ได้ยืนอยู่ข้างกัมพูชาในเกมนี้ จึงมีความเป็นไปได้สูงว่านโยบายของจีนจะกลับมาให้ความสำคัญกับไทยในด้านอื่นๆ เช่นเศรษฐกิจ
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ไทยจะผละจากความเป็นพันธมิตรที่ยาวนานกับสหรัฐฯ แต่เป็นการรักษาสมดุลในความสัมพันธ์กับทุกประเทศ โดยไม่ได้นำผลประโยชน์ของชาติเข้าไปแลก
เช่นเดียวกับเวียดนาม ที่ไม่ต้องการให้พื้นที่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็น Proxy War ของมหาอำนาจ และต้องการให้การสู้รบจบใน “อาเซียน” ลดปัจจัยการขยายวงไปมากกว่านี้
ไม่ต่างจากมาเลเซีย เมียนมา สิงคโปร์ และลาว ที่ล้วนต้องการตีกรอบให้ปัญหาจำกัดวง และคาดหวังให้ผลการเจรจาเป็นไปในทิศทางบวก และจบความขัดแย้งในสนามรบอย่างรวดเร็วและยั่งยืน
ทีมการผูกมิตร-จับมือกับประเทศต่างๆ จึงมีความสำคัญยิ่ง เพราะทุกชาติย่อมมองเห็นผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก และไม่ต้องการให้พื้นที่อาเซียนเป็นเหมือนรัสเซีย-ยูเครน.