“ประเสริฐ” จับมือแพลตฟอร์มออนไลน์ สกัด"เฟกนิวส์-ไอโอ" ชายแดน
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบและวิเคราะห์ข่าวในสื่อสังคมออนไลน์เพื่อป้องกันข่าวปลอม ว่า ที่ประชุมได้มีการนำเสนอถึงการพูดคุยกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ ที่มีการหารือกันเมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา ในการขอความร่วมมือป้องกันและปราบปรามข่าวปลอม รวมถึงบัญชีผู้ใช้ที่เป็นไอโอ โดยทางแพลตฟอร์มให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และมีข้อสรุปดังนี้ 1.ให้ความสำคัญกับข่าวที่มีความเกี่ยวข้องกับความไม่สงบในชายแดนเป็นหลัก 2.การใช้เทคโนโลยีเอไอในการตรวจจับข่าวปลอม และการปิดกั้นข่าวปลอมทุกช่องทาง 3.การเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการตามมาตรการการจัดการข่าวปลอม 4.หากพบว่ามีการดำเนินการด้านไอโอหรือด้านจิตวิทยา ขอให้ส่ง สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) เพื่อให้แจ้งแพลตฟอร์มออนไลน์ระงับการเผยแพร่ 5.การยกระดับการยืนยันตัวตนบนสื่อออนไลน์ โดยผู้ที่จะลงโฆษณาต้องเป็นบริษัทที่มีการยืนยันตัวตน ซึ่งได้เริ่มดำเนินการไปบางส่วนแล้ว
นายประเสริฐ กล่าวว่า ที่ประชุมยังได้หารือถึงขั้นตอนการปราบปรามข่าวปลอม เมื่อรับทราบและตรวจสอบข่าวปลอม จะเป็นขั้นตอนกระจายข้อเท็จจริงไปยังประชาชน โดยกรมประชาสัมพันธ์และกระทรวงดีอีจะทำงานกันอย่างใกล้ชิด และติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยมีการกำหนด KPI ว่าภายใน 3 ชั่วโมงต้องสามารถวิเคราะห์ได้ และแจ้งกลับไปว่า เป็นข่าวปลอมหรือเป็นข้อเท็จจริง และหลังจากวันนี้เป็นต้นไปหากประชาชนพบข่าวปลอมสามารถแจ้งเข้ามาได้ที่เว็บไซต์ของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย (Anti-Fake News Center Thailand) ได้ทันที รัฐบาลจะทำการตรวจสอบให้
นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า ที่ประชุมได้มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด ให้ไปหารือและดูรายละเอียดในการดำเนินคดีกับผู้ที่ดำเนินการเรื่องข่าวปลอม และขอบอกไปยังสื่อมวลชน อินฟลูเอนเซอร์ และผู้ไม่หวังดีว่า รัฐบาลเอาจริง อยากให้โพสต์ข้อความต่างๆ ด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะการนำเสนอข่าวที่บิดเบือน ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ตรวจสอบข้อเท็จจริงผู้ให้บริการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำไอโอ และดำเนินการตามมาตรการที่เหมาะสม รวมถึงรายงานผลการดำเนินให้ที่ประชุมทราบต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า การปราบข่าวปลอมดังกล่าว รวมถึงข่าวปลอมจากประเทศเพื่อนบ้านด้วยหรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า รวมด้วย โดยขั้นตอนปฏิบัติจะมีอยู่ 3 ขั้นตอน เมื่อได้รับข้อมูลจะมีการตรวจสอบ หากพบว่าเป็นข่าวปลอมจะรีบกระจายผลให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง แม้จะเป็นข่าวที่ถูกต้องก็ต้องบอก และจะจัดทำเป็นฉบับภาษาอังกฤษด้วย โดยใช้ช่องทางผ่านกรมประชาสัมพันธ์และสื่อต่างประเทศ เมื่อถามว่า ได้มีการเก็บสถิติข่าวปลอมจากประเทศเพื่อนบ้านหรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า ในช่วงเวลานี้มีสูง เพราะข่าวปลอมขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ช่วงปี 62 จนถึงปัจจุบัน พบว่าข่าวทั้งหมดที่ต้องสงสัยและต้องตรวจสอบมีอยู่ประมาณ 1.1 พันล้านข่าว แต่ด้วยเทคโนโลยีที่เรามี วันนี้เราสามารถตรวจจับได้มากขึ้น