ภูมิธรรมสั่ง5ข้อ ‘ผู้ว่าฯชายแดน’ ส่งชาวบ้านกลับ
"ภูมิธรรม" ประชุมผู้ว่าฯ ชายแดนไทย-กัมพูชา 4 จังหวัด ย้ำ 5 ข้อสั่งการโดยคำนึงชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนเป็นหัวใจสำคัญ พร้อมเตรียมอนุมัติค่าตอบแทน ชรบ.ในพื้นที่กว่า 100 ล้านบาท เพื่อเป็นขวัญกำลังใจผู้ดูแลบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงแนวชายแดน
เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี โดยเผยว่า สถานการณ์ภายหลังจากรักษาการ รมว.กลาโหมได้เจรจาในการประชุม GBC ที่ประเทศมาเลเซีย มีผลการเจรจาเป็นที่น่ายินดีในชั้นต้น เพราะเราต้องการความจริงจังและจริงใจจากกัมพูชา ด้วยจุดมุ่งหมายสำคัญคือ การรักษาสันติภาพให้ดีขึ้น เพื่อรักษาบ้านเมืองให้ชีวิตประชาชนได้มีสิ่งที่ดีที่สุด
กองทัพได้หารือและมีข้อสรุปคือ การหยุดยิงเกิดขึ้นโดยทันทีหลังจากที่ได้มีการคุยกัน โดยขณะนี้มีการเพิ่มอาเซียนเข้ามาเป็นสักขีพยาน รวมทั้งประเทศใหญ่ทั้งสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีนก็เข้ามาสังเกตการณ์ และประเทศเหล่านี้ก็ได้ส่งตัวแทนเข้าไปดูสถานที่จริงแล้ว ทำให้ได้เห็นความสูญเสียของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ ทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือน โดยเมื่อการประเมินได้รับการยอมรับจากกองทัพแล้วว่าปลอดภัยทุกพื้นที่ ประชาชนจึงจะกลับได้ โดยต้องขอบคุณกระทรวงการต่างประเทศที่เข้ามาดูแลพูดคุยเจรจาและการรักษาสันติภาพ รวมถึงกระทรวงมหาดไทย ทั้งกรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่ทุกส่วนขับเคลื่อนสนับสนุนบทบาทของพื้นที่อย่างเต็มกำลังตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ รวมถึงสำนักนายกรัฐมนตรี ในเรื่องเงินกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย และด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์ของกรมประชาสัมพันธ์
นายภูมิธรรมได้สั่งการ 5 แนวทางการบริหารจัดการในอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด ได้แก่ 1.อำนวยความสะดวกพี่น้องประชาชนกลับบ้าน โดยสามารถขอรับการสนับสนุนจากส่วนกลาง ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้สั่งการทุกส่วนงานให้พร้อมสนับสนุนทันทีแล้ว ขณะที่ในกลไกพื้นที่ ขอให้วางแผนบูรณาการความร่วมมือทุกส่วนเพื่อให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนกลับให้ได้เร็วที่สุด เพราะเขาจากบ้านมานานแล้ว รวมถึงการอำนวยความสะดวกในด้านอื่นๆ หากอะไรที่ดำเนินการได้ตามกรอบกฎหมายให้ทำทันที และทุกอย่างที่เกิดขึ้นต้องเก็บบันทึกด้วย เพื่อจะได้มีหลักฐานเป็นประโยชน์ในการรักษาอธิปไตยของประเทศต่อไป
2.การสำรวจความเสียหาย สภาพความพร้อมบ้านพักอาศัย สาธารณูปโภค ที่พร้อมเข้าอยู่ตามปกติของพี่น้องประชาชน โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจะไม่เรียกเก็บค่าไฟสำหรับบ้านเรือนที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งศูนย์พักพิงทั้งหมด ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2568 รวมไปถึงการประปาส่วนภูมิภาคด้วย สำหรับในเรื่องการซ่อมแซมบ้านเรือน ทุกส่วนราชการทั้งทหาร พลเรือน อาชีวะ สามารถช่วยเหลือโดยใช้เงินตามกรอบที่อนุมัติมาให้ รวมถึงเงินบริจาคที่ได้รับจากภาคส่วนต่างๆ โดยประสานมาที่ส่วนกลาง
3.การสำรวจประกอบอาชีพและสาธารณสุข ทั้งเรื่องสุขภาพกาย สุขภาพใจ รวมถึงผู้ปฏิบัติงานทั้งทหาร ตำรวจ ตำรวจตระเวนชายแดน อาสาสมัคร เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ไปพื้นที่ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน ต้องดูแลให้ครอบคลุมครบถ้วน
4.การเบิกจ่ายเยียวยาในภาวะที่ประชาชนเผชิญกับความทุกข์ ต้องใช้จ่ายอย่างมีคุณภาพ ครบถ้วน เต็มที่ บนเหตุผลและหลักการที่ต้องรักษาอธิปไตยของประเทศและชีวิตพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่ ทุกอย่างต้องเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าเป็นครอบครัวของเรา เราจะเป็นยังไง เพราะเขาก็ต้องการเงินไปดูแลไปแก้ไขปัญหาของเขา รวมถึงผู้ปฏิบัติงานด้วย เพราะเป็นผู้เสียสละสำคัญทั้งแนวหน้าและแนวหลัง สมเกียรติภูมิแห่งความเป็นข้าราชการแห่งรัฐ ทหารกล้า ตำรวจของแผ่นดิน
และ 5.ค่าตอบแทนชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) จะดูแลให้ดีที่สุด โดยหากถ้าทำงานวันละ 6 ชั่วโมงขึ้นไปแต่ไม่ถึง 12 ชั่วโมง 120 บาท แต่ถ้าเกินจาก 12 ชั่วโมงขึ้นไป 240 บาท รวมแล้วประมาณ 117 ล้านบาท เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับ ชรบ.หมู่บ้านต่างๆ ประมาณ 32,740 นายในพื้นที่
นอกจากนี้ นายภูมิธรรมพร้อมด้วยนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะ ให้กำลังใจและมอบถุงยังชีพแก่ประชาชนผู้อพยพบริเวณอาคารวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุรินทร์ อ.เมืองสุรินทร์ จ.สุรินทร์
รักษาการนายกฯ กล่าวว่า ตนและคณะมาวันนี้ด้วยความห่วงใยถึงความยากลำบากของทุกท่าน ซึ่งไม่ได้มาจากความผิดของเราเลย มันมาจากภัยนอกประเทศจนทำให้เราได้รับความเดือดร้อน ในขั้นต้นพวกเราทุกคนที่ทำการดูแลพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังพยายามดูแลพี่น้องประชาชนทุกส่วนอย่างเต็มที่ โดยมีส่วนแนวหน้าคือ ทหารกล้าของเราก็ได้ทำหน้าที่ในการปกป้องดินแดนอธิปไตยของประเทศ และพยายามที่จะพิทักษ์รักษาช่วยเหลือดูแลครอบครัวบ้านช่องทุกอย่างของพี่น้องประชาชนเป็นอย่างดี "เรามีความเห็นอกเห็นใจ และเห็นว่าทุกข์ของพี่น้องประชาชนคือทุกข์อันดับหนึ่งที่เราต้องดูแล รวมทั้งทรัพย์สินพี่น้องประชาชนด้วย"
"ตอนนี้พี่น้องประชาชนทุกคนคิดถึงบ้านเป็นอย่างมาก และเราก็ได้จัด ชรบ. อส. ดูแลบ้านเรือนพี่น้องอย่างดี ซึ่งรัฐบาลได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ต่างๆ เพื่อช่วยเหลือ โดยในเบื้องต้นเราได้เพิ่มเงินในอำนาจผู้ว่าฯ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา จาก 20 ล้าน เป็น 100 ล้านบาท และได้รับความสนับสนุนจากทุกส่วนราชการและภาคีเครือข่าย ทั้งวิทยาลัย มหาวิทยาลัย วัด บ้าน สถานศึกษา และสถานที่สาธารณะทั้งหมด ได้ร่วมทำอย่างเต็มที่ และตอนนี้ทุกคนอยากกลับบ้านเต็มที่แล้ว ตามแผนขณะนี้ อปท.ทั้งหมดส่งเจ้าหน้าที่ลงไปสำรวจความเสียหายของที่พักอาศัยแล้ว ถ้าเสียหายรุนแรงรัฐบาลก็จะหาที่พักให้ก่อน และรีบจัดการซ่อมแซม ด้วยการระดมสรรพกำลังทั้งทหารช่าง ปภ.และอาชีวะ อาสาสมัคร คอยช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน"
"วันที่ 10 สิงหาคมนี้ จะให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานต่างๆ นำรถยานพาหนะพาท่านกลับภูมิลำเนาด้วยความปลอดภัย และดำเนินการตามระเบียบ ข้อบังคับ กฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายจากงบประมาณองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และงบประมาณในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มาดำเนินการแก้ไขเยียวยาช่วยเหลือต่อไป พร้อมกำชับให้ผู้ว่าฯ นายอำเภอ ทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้การช่วยเหลือประชาชนตามอำนาจหน้าที่โดยทันที และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยช่วยเหลือพี่น้องประชาชนสูงสุดเป็นอันดับแรก และทางกระทรวงมหาดไทยได้ให้แนวทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและการประปาส่วนภูมิภาค พิจารณาบรรเทาผลกระทบค่าใช้จ่ายค่าสาธารณูปโภคของประชาชนพื้นที่ที่ประสบภัยด้วย ซึ่งทั้งหมดคือความห่วงใยที่รัฐบาล กระทรวงมหาดไทย และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกส่วนให้ความสำคัญและเอาใจใส่ประชาชนเป็นอย่างดี" นายภูมิธรรมกล่าว.