สิ่งที่หยั่งรากอยู่ใน‘อุปนิสัย’ของ‘สมเด็จฮวยเซ็ง’!!!
ผู้นำกัมพูชาอย่าง สมเด็จฮวยเซ็ง นั้น…น่าจะมี รสนิยม คล้ายๆ กับผู้นำประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกาอยู่พอสมควรเหมือนกัน แม้ว่า ห้องนอน ของ ทรัมป์บ้า อาจไม่ได้ออกไปทางสีชมพูแจ๋ แบบห้องที่คุณพี่ โทนี่ หรือคุณน้อง ปู ยิ่งลักษณ์ เคยอาศัยนอน ตอนเผ่นออกทาง ช่องทางธรรมชาติ หรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่ แต่ในแง่ของการ ชอบเล่นโซเชียล หรือชอบโพสต์โน่น โพสต์นี่ แบบแทบจะ 3 เวลาหลังอาหาร ชนิดผู้นำประเทศพี่เบิ้มแห่งลาตินอเมริกา ประธานาธิบดี Luiz Inacio Lula da Silva ท่านถึงกับต้องออกมาเตือนผู้นำอเมริกา ว่าน่าจะหันไปใช้เวลาบริหารชาติบ้านเมืองมากกว่าหมกมุ่นอยู่กับการจิ้มไป-จิ้มมาแบบพวก เกรียนคีย์บอร์ด ทั้งหลาย…
นอกเหนือไปจากนั้น…ลีลาในการโพสต์โน่น โพสต์นี่ ของผู้นำทั้งสอง…ก็น่าจะเป็นไปในทิศทางคล้ายๆ กัน หรือมีลักษณะแทบไม่ต่างไปจากกันมากมายซักเท่าไหร่ คือหนักไปทาง เอามันซ์ซ์ซ์ เข้าว่า จริง-ไม่จริง โม้-ไม่โม้ ได้เรื่อง-ไม่ได้เรื่อง สัมมวาจา-หรือมิจฉาวาจา ฯลฯ อันนั้น…ดูจะไม่ถือเป็นเรื่องสลักสำคัญแต่อย่างใด ไม่เช่นนั้นคงไม่ถึงกับต้อง เพ้อ ไว้แบบชนิดเป็นเรื่อง-เป็นราว ว่าตัวเองและลูกชายบุญธรรม ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชาทุกวันนี้ กำลังถูกวางแผนลอบสังหาร โดยฝีมือของ กองทัพไทย เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
ด้วยลักษณะลีลาเช่นนี้…ทำให้ประเทศไทย ที่ดันไปมีเรื่องกับเขมร นับตั้งแต่การโทรศัพท์ของท่านนายกฯ คุณหลาน อุ๊งอิ๊ง ไปหา อังเคิล เป็นต้นมา เลยหนีไม่พ้นต้องปวดเศียร เวียนเกล้า ไปตามๆ กัน ไม่ว่าตั้งแต่ระดับกระทรวงต่างประเทศ กองทัพ ไปยันถึงปุถุชนคนธรรมดา ฯลฯ เมื่อเจอเข้ากับการโพสต์โน่น โพสต์นี่ ของ สมเด็จฮวยเซ็ง ชนิดแทบไม่เว้นในแต่ละวัน หรือต้องตกอยู่ในอาการแบบเดียวกับที่ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก บ้านเรา ท่านได้ทรงปรารภเอาไว้ใน พระคติธรรม เมื่อช่วงวันอาสาฬบูชาที่ผ่านมานั่นแหละว่า ….“ท่ามกลางสถานการณ์ทางเทคโนโลยีการสื่อสารอันรุดหน้าอย่างรวดเร็ว ความสงบสุขในโลกกลับถดถอย เสื่อมทราม ลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะทุกคนต้องจำทนอยู่ในวังวนแห่งความรู้สึกชิงชัง ก้าวร้าว และตึงเครียด โดยเหตุที่เสพคุ้นอยู่กับข้อมูลเท็จ การส่อเสียด คำหยาบคายและความเพ้อเจ้อ จนกระทบกระเทือนสุขภาพจิต” อะไรประมาณนั้น…
แต่จะไปปิดปาก ตบปาก หรือโดดข้ามไปทำอะไรต่อมิอะไรกับ สมเด็จฮวยเซ็ง ถึงประเทศกัมพูชานั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วแน่ๆ แถมความรุดหน้า ก้าวหน้า-ก้าวไกล ของ เทคโนโลยี ชนิดนี้ มันยังเป็นตัวเอื้ออำนวยให้สามารถทำสิ่งที่ว่าได้แบบคล่องเนื้อ-คล่องตัวเป็นอย่างยิ่ง การต้องเจอกับข้อมูลเท็จ การส่อเสียด ความเพ้อเจ้อ หรือกระทั่งความหยาบคายในบางครั้ง-บางคราของผู้นำกัมพูชา ตลอดไปจนบรรดาชาวเขมรที่ถูกปลุก ถูกปั่น ให้ คลั่งชาติ ไม่ต่างไปจากประเทศไทย หรือเผลอๆ…อาจหนักกว่าด้วยซ้ำ เลยกลายเป็น ข้อเท็จจริง ที่มิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ ส่วนใครจะคลั่งกว่า-ไม่คลั่งกว่า อันนั้น…คงต้องขึ้นอยู่กับ รสนิยม ของใคร-ของมัน ที่ต้องไปวัดตัดสินกันเอาเอง เพราะเรื่องของความ รักชาติ กับ คลั่งชาติ นั้น มันออกจะหา เส้นแบ่ง ออกจากกันและกันได้ลำบาก เนื่องจากแต่ละคน แต่ละเผ่า แต่ละพันธุ์ ล้วนแล้วแต่มี ชาติ ไปด้วยกันทั้งนั้น หรือล้วนแต่ยึดมั่น ถือมั่น อยู่กับ สิ่งสมมุติ เหล่านี้ มาโดยตลอด…
ดังนั้น…สำหรับใครก็ตามที่ต้องตกอยู่ในวังวนแห่งความชิงชัง ก้าวร้าวและตึงเครียด จนกระทบกระเทือนไปถึงสุขภาพจิต หรืออาจต้องกลายเป็นโรคจิตเอาง่ายๆ ก็คงต้องลองหัดนึก หัดคิด แบบที่ สมเด็จพระสังฆราชฯ ท่านทรงสรุปไว้แบบชัดเจน ตรงไป-ตรงมานั่นแหละว่า “เมื่อใดที่บุคคลใดพูด หรือเขียนเป็นคำเท็จ คำส่อเสียด คำหยาบคายและคำเพ้อเจ้อ ไม่ว่าในช่องทางใด หรือวาระโอกาสใด เมื่อนั้น…คือการอวดความทรุดโทรม ต่ำช้า ที่หยั่งรากอยู่ในความสืบเนื่องแห่งอุปนิสัยของบุคคลนั้นๆ อันนับว่าน่าอับอาย มากกว่าที่จะนำมาอวดแสดงกัน” …และนั่นก็น่าจะพอทำให้ เข้าใจได้ ถึงอุปนิสัย วาสนา ของผู้นำกัมพูชาอย่าง สมเด็จฮวยเซ็ง ว่าเป็นคนแบบไหน? ชนิดไหน? น่าคบ-ไม่น่าคบ น่าเคารพ-ไม่น่าเคารพ น่าจะยอมตาย ยอมทิ้งศพให้เน่าเหม็น โดยไม่คิดนำมากลบฝัง ต่อผู้นำที่มีลักษณะเช่นนี้หรือไม่? อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม…อย่างที่ว่าเอาไว้แล้วนั่นแหละว่า ด้วยเหตุเพราะประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาทั้งหลาย ย่อมมิอาจ ยกประเทศหนี ไปจากความใกล้ชิด ติดพัน กับพรมแดน เขตแดน ของประเทศ เคลมโบเดีย ได้เลย มีแต่ต้องกล้ำกลืน ฝืนทน มาตั้งแต่ยุค พระยาละแวก โน่นแหละ ยิ่งเมื่อต้องเจอกับผู้นำประเทศ อย่างประเภท สมเด็จฮวยเซ็ง ด้วยแล้ว ที่มี ความทรุดโทรม ต่ำช้า หยั่งรากอยู่ในความสืบเนื่องแห่งอุปนิสัย อันสะท้อนให้เห็นได้โดยชัดเจน จากการโพสต์โน่น โพสต์นี่ ในโลกโซเชียลมีเดีย แต่ละครั้ง แต่ละครา ก็คงมีแต่ต้องพยายาม ทำใจ ให้หนักแน่น มั่นคง เข้าไว้ ยึดความถูกต้อง-เป็นธรรม หรือยึด ธรรมะ เป็นพื้นฐาน อย่าถึงกับ เปรี้ยวมือ-เปรี้ยวตีน จนเกินไป เพราะลึกๆ ยิ่งไปกว่านั้น…โดยสีสัน บรรยากาศของโลกช่วงหลังๆ นี้ มันน่าจะมีจุดมุ่งหมายอะไรบางอย่าง มากไปกว่าการกระทบกระทั่งระหว่างประเทศทั้งสอง เผลอๆ…อาจมุ่งหวังไปถึงขั้นคิดจะให้ อาเซียนทั้งอาเซียน พินาศยับเยินเอาเลยก็เป็นได้ โดยเฉพาะเมื่อช้างสารชนกันขึ้นมาเมื่อไหร่ บรรดาหญ้าแพรกทั้งหลาย…ย่อมมีแต่ต้องแหลกลาญ ไปเป็นธรรมดา.