แต่งตั้ง ‘นายพลสีกากี’
หากยึดตามกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2567 ข้อ 7 การแต่งตั้งตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. และ จตช. ลงมาถึง ผบก. ให้ดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.เป็นต้นไป และ ก.ตร.พิจารณาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ส.ค.ของทุกปี จึงเหลืออีกเพียง 20 วันก็จะครบตามกฎ ตามเกณฑ์ ตามข้อกฎหมายที่กำหนดไว้ ณ ตอนนี้ดูเหมือน การแต่งตั้ง "นายพล" วาระประจำปี 2568 ยุค ผบ.ต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.กุมบังเหียน กำลังเดินหน้าไปตามสเตปที่วางไว้ หลังจากประกาศลำดับอาวุโสไปแล้ว 2 รอบ รวมทั้งการเสนอชื่อจากผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดไปเมื่อวันที่ 4 ส.ค. ตามมาด้วย
การพิจารณาคณะกรรมการระดับกองบัญชาการ ก็เหลือการพิจารณาคณะกรรมการระดับ ตร. และนำเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. ซึ่งครั้งนี้น่าจะมี บิ๊กอ้วน-ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานแทน นายกฯอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ถูกพักการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ตามคาดหมายวงประชุม ก.ตร. น่าจะทำคลอดช่วง 20-21 ส.ค.นี้ ช้าสุดก็ไม่น่าจะเกิน 28 ส.ค. ๐
ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติ ไม่มีอะไรเข้ามาเป็นตัวแปรในการจัดทำบัญชี "นายพล" การแต่งตั้งระดับ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ขึ้น รอง ผบ.ตร. และจเรตำรวจแห่งชาติ รวมทั้ง ผบช. ขึ้นผู้ช่วย ผบ.ตร. คงไม่มีอะไรต้องลุ้น ไม่มีอะไรต้องตื่นเต้น เพราะตามกฎ ก.ตร.กำหนดเรียงลำดับอาวุโส 100% จากตำแหน่งว่าง แต่มาปีนี้เก้าอี้ รอง ผบ.ตร.ว่าง 2 ตำแหน่ง แทน พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. ที่เกษียณอายุราชการ 30 ก.ย. 2568 ปรากฏว่า 2 ผู้ช่วย ผบ.ตร.ที่จะเลื่อนขึ้นลำดับ 1 พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ไม่น่าจะมีปัญหา มาติดตรงลำดับ 2 พล.ต.ท. นพ.โสภณรัชต์ สิงหจารุ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ที่เพิ่งมีกรณีแพทยสภาชี้มีความบกพร่องทางจริยธรรมจากการดูแลผู้ป่วยชั้น 14 จน บิ๊กต่าย แต่งตั้ง บิ๊กหวาน-พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว ก็เลยต้องมาลุ้น ต้องมาจับตาว่าวงประชุม ก.ตร.จะมีแนวทางอย่างไร เพราะอย่าลืมว่าในกฎ ก.ตร.และ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 การพิจารณาแต่งตั้งตำรวจดำรงตำแหน่งสูงขึ้น ข้อหนึ่งมีเรื่องความประพฤติ การรักษาวินัย และการปฏิบัติตามจริยธรรมตำรวจ ประกอบไว้ด้วย ๐
อีกหนึ่งระดับในการแต่งตั้ง "นายพล" ครั้งนี้ที่ต้องลุ้น ต้องจับตา อยู่ที่เก้าอี้ผู้บัญชาการ หรือ ผบช. ซึ่งถือเป็นผู้นำหน่วยปฏิบัติ ปีนี้มีตำแหน่งว่างจากทั้งผู้ที่เกษียณและขยับเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นถึง 17 ตำแหน่ง โฟกัสสำคัญคงไปอยู่ที่ 6 จาก 7 เก้าอี้ กลุ่ม ผบช.เลื่อนขึ้น ผู้ช่วย ผบ.ตร. เพราะแต่ละตำแหน่งในแวดวงสีกากีมองว่าล้วนเป็นเก้าอี้เกรดเอ เริ่มจาก "ผบช.ภ.8" ของ พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร,"ผบช.ก." ของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช,"ผบช.ภ.7" ของ พล.ต.ท.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต,"ผบช.ภ.2" ของ พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์,"ผบช.ก.ตร." ของ พล.ต.ท.อนุชา รมยะนันทน์, "ผบช.ส." ของ พล.ต.ท.อุดร ยอมเจริญ รวมทั้งเก้าอี้จากผู้เกษียณ คือ "ผบช.ตชด." ของ พล.ต.ท.นิตินัย หลังยาหน่าย,"ผบช.รร.นรต." ของ พล.ต.ท.เสนิต สำราญสำรวจกิจ เป็นต้น โดยเฉพาะเก้าอี้ "ผบช.ก." หรือ "ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง" ตอนนี้มีชื่อ บิ๊กต่อ-พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย รอง ผบช.ก. อาวุโสลำดับ 12 ในระนาบรอง ผบช. ใกล้ชิด บิ๊กก้อง เป็นตัวเต็ง แต่ก็ห้ามตัดชื่อ บิ๊กเอ็ม-พล.ต.ต.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบช.ก. ที่ ณ ชั่วโมงนี้ชื่อเสียงไม่ธรรมดา มีโอกาสปาดหน้าได้เช่นกัน ๐
พ้นจากสถานการณ์หยุดยิง และเฝ้าระวังเหตุการณ์ฝ่ายที่จะละเมิด ก็จะเข้าสู่ช่วงของการจัดทำบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารประจำปีของกองทัพ โดยเฉพาะในส่วนของกองทัพบก ซึ่ง พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ต้องวางมือทำงานในระดับคุมกำลังเพื่อเสริมการบังคับบัญชา และการทำงานให้ออกดอกออกผล ซึ่งอำนาจในการจัดทัพ กระชับอำนาจครั้งนี้ น่าจะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะการเมืองคงไม่ใจเด็ดขนาดเข้ามาล้วงโผ ในสถานการณ์ที่ตัวเองกำลังง่อนแง่น จะมีบ้างก็คงเป็นเด็กในสายของ “พี่ๆ” ผู้มีพระคุณ แต่ก็คงไม่ใช่เก้าอี้ที่ชี้นำทิศทางความเป็นไปในกองทัพ หรือวางสนุ้กป้องกันเหตุที่ฝ่ายการเมืองระแวงและระวัง ๐
"รองเติ่ง” พล.ต.วีระยุทธ รักศิลป์ (ตท.26) รองแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นหนึ่งในทีมเลขาฯ คณะกรรมการชายแดนไทย-กัมพูชาฝ่ายไทย ในฐานะคุมสภาพงานด้านยุทธการในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา นับแต่เหตุการณ์ทหารกัมพูชารุกเข้ามาในแนวต้นสัตบรรณพื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี เตรียมรับไม้ต่อจาก "เพื่อนกุ้ง" พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 คนปัจจุบัน ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนนี้ เป็นการสลับสาย พล.ร.6 ขึ้นมาคุมพื้นที่ภาคอีสาน โดยมีการวางตัว พล.ต.สมภพ ภาระเวช (ตท.29) ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 6 ขึ้นเป็นรองแม่ทัพแทน เป็นการปรับทัพแบบลื่นไหล ขยับคนที่รับผิดชอบงานเข้าสู่ตำแหน่ง หลังจากเข้าสู่โหมดหยุดยิง ปิดจ๊อบการรบตามแผน "ยุทธบดินทร์" เป็นที่เรียบร้อย๐
ที่ต้องโฟกัสกันตาไม่กะพริบ คือตำแหน่งแม่ทัพทั้ง 3ภาค ไล่ตั้งแต่แม่ทัพภาคที่ 1 ที่แม้จะมีชื่อ พล.ท.วรยส เหลืองสุวรรณ (ตท.28) แม่ทัพน้อยที่ 1 เป็นเต็งหนึ่งที่อาวุโสยศ และมีพลังในการผลักดันที่เข้มข้น แต่เพื่อน ตท. 28 พล.ต.สราวุธ ไชยสิทธิ์ รองแม่ทัพภาคที่ 1 ซึ่งมีขุมพลังในการผลักดันเช่นกัน ก็มาแรงอยู่ไม่น้อย ขณะที่มีชื่อของ พล.ต.สิทธิพร จุลปานะ (ตท.30) รองแม่ทัพน้อยที่ 1 มาแรงทุกโค้ง ลุ้นเก้าอี้แม่ทัพน้อยที่ 1 แต่ที่ฮือฮาคือกระแสข่าวการส่ง พล.ต.อดุลย์ จันทร์มา (ตท.26) รองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ลงไปนั่งในตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4 เพื่อจัดระเบียบ รื้อขยะใต้พรมที่หมักหมมมานาน คาดหวังให้สูตรดับไฟใต้ที่วางไว้เห็นหน้าเห็นหลัง ขณะที่พื้นที่ภาคเหนือมีการวางตัว พล.ต.วรเทพ บุญญะ (ตท.26) รองแม่ทัพภาคที่ 3 คุมชายแดนไทย-เมียนมาด้วย
แต่สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ก็ยังไว้วางใจไม่ได้ ต้องประชุมจีบีซีและอาร์บีซีเพื่อหารือกันอีกยก โดยเฉพาะเรื่องความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งกัมพูชาไม่ยอมรับ เพราะนั่นเท่ากับยอมมอบตัวในปฏิบัติการลอบกัดครั้งนี้ แต่พยานหลักฐานที่เห็นตำตาฟ้องการกระทำก็คือ เหตุการณ์ล่าสุดที่ ร้อย.ร.111 ได้นำกำลังพลลาดตระเวนเส้นทาง เพื่อวางลวดหนามป้องกันพื้นที่ บริเวณรอยต่อโดนเอาว์-กฤษณา ระหว่างตรวจสอบเส้นทางได้เหยียบกับระเบิด เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 3 นาย ได้แก่ จ.ส.อ.ธานี พาหา ข้อเท้าซ้ายท่อนล่างขาด พลฯ ภาคภูมิ ไชยสุระ บาดเจ็บที่แขน และด้านหลัง พลฯ ธนันชัย ไกรวงค์ โดนแรงอัด และเจ็บแก้วหู ในขณะที่พื้นที่ภูมะเขือ ทหารช่างจากกองทัพภาคที่ 3 ร่วมทำการสนับสนุนกองทัพภาคที่ 2 ในการทำความสะอาด เก็บกวาดสนามรบ กลับพบสรรพาวุธของกัมพูชาโดยเฉพาะทุ่นระเบิด PMN-2 จำนวนมาก.