โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

ทฤษฎีพึ่งพิง(Dependency theory)ในศตวรรษที่21

ไทยโพสต์

อัพเดต 10 สิงหาคม 2568 เวลา 5.02 น. • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ทฤษฎีพึ่งพิงช่วยมองโลกผ่านเลนส์ตัวหนึ่ง แม้ไม่สมบูรณ์แต่ไม่ล้าสมัย ช่วยให้เห็นสิ่งที่แฝงอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ทฤษฎีพึ่งพิง (Dependency theory) ในระยะหลังไม่ค่อยเอ่ยถึงในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะตำรากับสื่อตะวันตกเน้นใช้แนวคิดอื่นมากกว่า เช่น โลกาภิวัตน์ แต่สาระของทฤษฎีพึ่งพิงแทรกอยู่ในหลายแนวคิด การวิเคราะห์ต่างๆ

ภาพ: การพึ่งพิงในศตวรรษที่ 21

เครดิตภาพ: ภาพจากปัญญาประดิษฐ์

ทฤษฎีพึ่งพิง:

ความช่วยเหลือที่ไม่ให้เปล่าจริงๆ การครอบงำในรูปแบบต่างๆ ความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียม นำสู่ทฤษฎีพึ่งพิง (Dependency Theory) ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ทฤษฎีพึ่งพิงเป็นแนวคิดอธิบายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับการเมืองที่ไม่เท่าเทียมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนา

ความสัมพันธ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มาจากโครงสร้างโลกที่ตั้งใจสร้างเพื่อประโยชน์ของบางประเทศ ทฤษฎีพึ่งพิงมองว่าระบบเศรษฐกิจโลกปัจจุบันอยู่ภายใต้โครงสร้างที่เอื้อประโยชน์ต่อประเทศพัฒนาแล้ว (บางตำราใช้คำว่าพวกตะวันตกหรือประเทศแกนกลาง) และทำให้ประเทศกำลังพัฒนา (บางตำราใช้คำว่าประเทศที่ถูกขูดรีด ประเทศชายขอบ) ตกอยู่ในภาวะพึ่งพิง ถูกเอารัดเอาเปรียบ

นักวิชาการสายนี้อธิบายว่า ความยากจนของกลุ่มประเทศในเอเชีย แอฟริกา และลาตินอเมริกา เกิดจากการขูดรีดของประเทศนายทุนใหญ่ เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจโลกที่ประเทศนายทุนใหญ่หรือประเทศที่พัฒนาแล้วผลิตสินค้าที่ขายในราคาสูง แลกกับสินค้าราคาถูกของประเทศกำลังพัฒนา เป็นโครงสร้างเศรษฐกิจแบบพึ่งพา ไม่เท่าเทียมกัน

เรื่องนี้ซ้ำรอยประวัติศาสตร์อารยธรรมที่รุ่งเรืองมาจากการรวบรวมความมั่งคั่งของอาณาจักรอื่นๆ ที่ด้อยกว่า ความมั่งคั่งที่กอบโกยช่วยให้มหาอำนาจมีทรัพยกรสำหรับการพัฒนาประเทศมากขึ้น ทั้งด้านเศรษฐกิจ อาวุธ สร้างกองทัพขนาดใหญ่ที่ไม่มีใครสู้ได้

ความยิ่งใหญ่ของมหาอำนาจจึงเป็นผลมาจากการที่พวกเขาได้เปรียบ และแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากร แรงงาน และตลาดของประเทศกำลังพัฒนา ผลคือประเทศกำลังพัฒนาไม่สามารถพัฒนาเต็มศักยภาพ หรือถูกกดทับ ในขณะที่ชาติมหาอำนาจสามารถรักษาความยิ่งใหญ่ของตน หรือสร้างให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

ความสัมพันธ์พึ่งพิงหลายด้าน:

ที่ร้ายกว่านั้นคือ เกิดความสัมพันธ์พึ่งพิงหลายด้าน

บางกรณีอาจพูดว่าการพึ่งพิงทางเศรษฐกิจเป็นจุดเริ่ม เป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ บนฐานคำว่า “เพื่อช่วยพัฒนาประเทศ” แต่ความจริงแล้วลึกซึ้งกว่านั้นมาก ลักษณะหนึ่งที่เห็นชัดคือประเทศผู้ถูกกดขี่พึ่งพาการส่งออกวัตถุดิบและสินค้าเกษตรไปยังมหาอำนาจกับพวก และพึ่งพาการนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีจากประเทศพัฒนาแล้ว

สงครามเย็นเป็นตัวอย่างการพึ่งพิงหลายด้าน ด้วยเหตุผลช่วยต่อต้านคอมมิวนิสต์ รัฐบาลสหรัฐให้ความช่วยเหลือกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาหลายอย่าง ด้วยหวังว่าจะชี้นำเศรษฐกิจของพวกเขา รวมถึงการเมือง การศึกษา ค่านิยม วัฒนธรรม ประเทศเหล่านี้จึงดำเนินนโยบาย “พัฒนาแบบตะวันตก”

หนึ่งในหลักการที่ชาติตะวันตกใช้คือหลักแบ่งงานการทำ ทุกประเทศผลิตในสิ่งที่ตนถนัด มีประสิทธิภาพ และนำเข้าสินค้าอื่นๆ ที่ตนไม่ได้ผลิตจากประเทศอื่น พวกตะวันตกชี้ว่าภายใต้หลักการดังกล่าว ทุกประเทศจะผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ ทั่วโลกได้บริโภคอย่างเต็มที่

แต่ภายใต้หลักดังกล่าว ประเทศกำลังพัฒนาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เนื่องจากผลิตสินค้าเกษตร ส่งออกสินแร่ในราคาถูก ในขณะที่ต้องนำเข้าเทคโนโลยี เครื่องจักร สินค้าอุตสาหกรรมในราคาแพงกว่าหลายเท่า จึงเกิดภาวะขายถูก-ซื้อแพง เกิดปัญหาด้านงบประมาณ

เป็นที่มาของความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ (economic inequalities) ที่ขยายตัวถ่างออกมากขึ้น เหมือนคนรวยกับคนจนที่ต่างกันมากขึ้นทุกที

บางประเทศจึงปรับเปลี่ยนนโยบาย ใช้หลัก “ทดแทนการนำเข้า” (import-substitution) คือส่งเสริมอุตสาหกรรม ผลิตสินค้าบางอย่างที่จำเป็น ลดการนำเข้า พร้อมๆ กับที่ไม่มุ่งผลิตเพื่อส่งออกเท่านั้น

อีกลักษณะที่เห็นชัดคือ ประเทศผู้ถูกกดขี่ต้องพึ่งพาเงินกู้และการลงทุนจากมหาอำนาจกับพวก ซึ่งมักมาพร้อมกับเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์เจ้าหนี้ รัฐบาลผู้รับเงินกู้ต้องคอยปกปิด กลบเกลื่อนประชาชนตัวเองไม่ให้รู้ว่าประเทศเสียอะไรไปบ้าง เพื่อแลกกับข้อตกลงที่เสียเปรียบ ด้วยเหตุผลข้อตกลงเป็นเอกสารลับราชการ และคนที่รู้ไม่กล้าเปิดเผย (เพราะผิดกฎหมาย) ประชาชนจึงไม่รู้ว่าข้อตกลงที่เสียเปรียบเป็นอย่างไร เป็นเช่นนี้ร่ำไป

การครอบงำที่ร้ายแรงสุดคือ การพึ่งพิงทางวัฒนธรรม/อุดมการณ์ ประเทศโลกที่ 3 (กำลังพัฒนา) มักรับวัฒนธรรมและแนวคิดการเมืองการปกครองจากมหาอำนาจ ประเทศผู้เป็นมหาอำนาจพยายามชี้ว่าอุดมการณ์การเมืองเศรษฐกิจของตนดีที่สุด (โดยไม่พูดว่าที่ตนเจริญนั้นมาจากการกอบโกยผลประโยชน์ต่างแดน)

พวกมหาอำนาจจะพยายามให้เลือกข้าง เป้าหมายคือให้เลือกอยู่ฝ่ายตน ซึ่งหมายถึงต้องพึ่งพิงมหาอำนาจฝ่ายนั้นนั่นเอง ถูกใช้ประโยชน์แม้กระทั่งต้องเข้าสู่สงครามตัวแทน ทำสงครามที่ไม่ได้ก่อ แต่มหาอำนาจผลักให้เข้าสู่สงคราม ประเทศกลายเป็นสนามรบ ยิ่งรบยิ่งพัง

ดังนั้น แม้มหาอำนาจจะบอกว่าเคารพอธิปไตย เสรีภาพการตัดสินใจของประเทศอื่น ความจริงแล้วพยายามกดดันให้อยู่ฝ่ายเดียวกับเขา รับค่านิยมวัฒนธรรมของเขา ไม่สนใจว่าบริบทประเทศโลกที่ 3 นั้นพร้อมรับหรือไม่ ต้องรับนโยบาย ทำตามคำสั่ง แรงกดดัน

ความร่วมมือของชนชั้นนำ:

มหาอำนาจตระหนักว่าการใช้กำลังทหารไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเสมอไป ทางที่ดีกว่าคือให้อีกฝ่ายมีรัฐบาลที่เป็นพวกเดียวกันตน จึงสนับสนุนผู้นำประเทศ นักการเมือง พรรคการเมืองที่ตอบสนองผลประโยชน์ของมหาอำนาจ ดังจะเห็นว่าบางประเทศที่มีการเลือกตั้ง เมื่อได้รัฐบาลหนึ่งจะอยู่ฝ่ายมหาอำนาจขั้วหนึ่ง เมื่อเลือกตั้งอีกครั้งได้รัฐบาลอีกขั้วก็จะเป็นมิตรกับมหาอำนาจอีกฝ่าย เป็นเช่นนี้สลับไปมา

หรือหากประเทศฝ่ายตรงข้ามมีผู้ปกครองหรือรัฐบาลที่เข้มแข็ง จะใช้วิธีกัดเซาะบ่อนทำลาย ดังมีข่าวว่ามหาอำนาจมักคิดล้มล้างรัฐบาลหรือระบอบฝ่ายตรงข้าม ยุทธศาสตร์นี้จะวางแผนและดำเนินการต่อเนื่องหลายปี บางกรณีหลายทศวรรษ

ไม่ใช่การพึ่งพิงโดยสมบูรณ์:

ทฤษฎีพึ่งพิงเป็นแนวการมองโลกแบบหนึ่ง ความเป็นไปในโลกไม่เป็นเช่นนี้เสมอไป มีปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น บางครั้งเป็นความร่วมมือที่ได้ประโยชน์ทั้งคู่ ประเทศผู้ถูกดขี่พยายามเอาตัวรอด ติดต่อสัมพันธ์หลายมหาอำนาจ เพื่อทำให้เกิดการถ่วงดุล

อีกทั้งประเทศจะพัฒนาหรือไม่ ประชาชนจะอยู่ดีมีสุขหรือไม่ ขึ้นกับปัจจัยอื่นๆ อีกมากนอกเหนือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

การพึ่งพิงช่วยให้ประเทศเติบโตพัฒนาขึ้น ประชาชนอยู่ดีมีสุขมากขึ้น โดยนัยนี้การพึ่งพิงได้ประโยชน์เช่นกัน เพียงแต่ได้น้อยกว่า อนาคตประเทศอยู่ใต้การกำกับหรือแรงกดดันของรัฐบาลต่างชาติ ไม่สามารถเป็นประเทศที่มีอธิปไตยอย่างแท้จริง เป็นเบี้ยล่างอยู่เสมอ

ในศตวรรษที่ 21 ไม่ค่อยเอ่ยถึงทฤษฎีพึ่งพิง เพราะมีแนวคิดอื่นที่เด่นกล่าว ตั้งแต่โลกไร้พรมแดน โลกาภิวัตน์ รัฐบาลทรัมป์กำลังวางระบบใหม่ตาม "Mar-a-Lago Accord" ด้าน BRICS กำลังสร้างระบบพหุภาคีใหม่ที่เท่าเทียมกว่าเดิม ถึงกระนั้นทฤษฎีพึ่งพิงยังทำหน้าที่ช่วยมองโลกผ่านเลนส์ตัวหนึ่ง แม้ไม่สมบูรณ์แต่ไม่ล้าสมัย ช่วยให้เห็นสิ่งที่แฝงอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ประชาชนบางส่วนยังไม่เข้าใจ เพราะไม่เข้าถึงข้อมูลเอกสารลับต่างๆ รัฐบาลที่พยายามปกปิด กลบเกลื่อนความจริง และความซับซ้อนของการเมืองระหว่างประเทศ

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ไทยโพสต์

ทักษิณ เสี่ยงนับโทษใหม่ ศาลรธน.คดีอิงค์ รอดยาก ชิงลาออกก่อนวันลงมติ?

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

สิ่งที่หยั่งรากอยู่ใน‘อุปนิสัย’ของ‘สมเด็จฮวยเซ็ง’!!!

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

กว่าจะได้เข็มกลัดธงชาติไทย

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เขมรโกงนานาชาติ รับเงินกู้กับระเบิดมาทำ ร้ายไทยโดนไปอีก3นาย/ค้นภูมะเขือเจอเพียบ!

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความการเมืองอื่น ๆ

ข่าวและบทความยอดนิยม