สองเส้นทางการคลอด… แบบไหนที่ใช่สำหรับคุณแม่และลูกน้อย
การตัดสินใจเลือกรูปแบบการคลอด ถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาสำคัญที่สุดของคุณแม่ เพราะไม่เพียงแต่ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายของคุณแม่เอง แต่ยังส่งผลต่อความปลอดภัยและสุขภาพระยะยาวของลูกน้อยด้วย แล้วเลือกวิธีไหนจึงจะดีที่สุด ก่อนอื่นขอแนะนำการคลอดธรรมชาติและการผ่าคลอด ว่าต่างกันอย่างไร
การคลอดธรรมชาติ เป็นการเบ่งคลอดทางช่องคลอด หลังมดลูกหดรัดตัวและปากมดลูกเปิดเต็มที่ โดยแพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์จะช่วยดูแลตลอดขั้นตอน โดยระยะเวลาในการคลอด ตั้งแต่เริ่มเจ็บครรภ์จนถึงคลอด อาจใช้เวลา 6–12 ชั่วโมงสำหรับคุณแม่ที่คลอดครั้งแรก และสั้นกว่าสำหรับครรภ์ถัดไป สำหรับการฟื้นตัวของการคลอดธรรมชาติ ร่างกายฟื้นตัวค่อนข้างเร็ว (2–4 วันหลังคลอด สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติ) อีกทั้งเด็กจะได้รับแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์จากช่องคลอดคุณแม่ ซึ่งช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยลดความเสี่ยงภาวะทางเดินหายใจในเด็กแรกเกิด ไม่มีแผลผ่าตัดใหญ่ จึงลดความเสี่ยงติดเชื้อจากแผล รวมถึงการคลอดเองช่วยกระตุ้นฮอร์โมน “ความผูกพัน” (Oxytocin) ระหว่างแม่กับลูก
การผ่าคลอด เป็นการคลอดโดยการผ่าตัดเปิดหน้าท้องและมดลูก ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 45 นาที–1 ชั่วโมง การผ่าคลอดจะใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า (ประมาณ 1–2 สัปดาห์จึงเคลื่อนไหวได้สะดวก และอาจใช้เวลา 6 สัปดาห์จึงฟื้นเต็มที่) แต่ข้อดีของการผ่าตลอดคือ คุณแม่สามารถวางแผนล่วงหน้าได้ชัดเจน ลดความเสี่ยงในกรณีฉุกเฉิน เช่น ทารกไม่กลับหัว, สายสะดือพันคอ, รกลอกตัวก่อนกำหนด เหมาะกับคุณแม่ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น ความดันสูง, โรคหัวใจ, เบาหวานที่ควบคุมยาก
อย่างไรก็ตามการคลอดทั้งสองวิธีข้างต้น ก็มีความเสี่ยงหรือข้อจำกัดของแต่ละวิธี เช่น การคลอดธรรมชาติ อาจมีการฉีกขาดของช่องคลอดหรือฝีเย็บ ใช้เวลาคลอดนานและคุณแม่จะเหนื่อยมาก หากเกิดภาวะแทรกซ้อนกะทันหัน อาจต้องเปลี่ยนเป็นการผ่าคลอดฉุกเฉิน การผ่าคลอด การฟื้นตัวช้ากว่า และมีแผลผ่าตัดใหญ่ เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เลือดออกมาก หรือภาวะแทรกซ้อนจากการดมยา อาจมีพังผืดในช่องท้อง ส่งผลต่อการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป และค่าใช้จ่ายสูงกว่าการคลอดธรรมชาติ
แต่จะมีกรณีที่แพทย์มักแนะนำให้ผ่าคลอดแทนการคลอดธรรมชาติ เพื่อความปลอดภัยสำหรับคุณแม่และลูกน้อย ได้แก่ กรณีที่ทารกตัวใหญ่เกินไป (Macrosomia) ทารกอยู่ในท่าก้นหรือท่าผิดปกติ, ภาวะรกเกาะต่ำหรือรกปิดปากมดลูก, คุณแม่มีภาวะครรภ์เป็นพิษรุนแรง เคยมีการผ่าคลอดครั้งก่อน และแพทย์ประเมินว่ามีความเสี่ยงต่อการคลอดเอง
ปัจจุบันมีแนวโน้มคุณแม่เลือกการผ่าคลอดมากขึ้น สาเหตุหลัก ๆ ได้แก่ ความสะดวกและการวางแผนเวลาได้ เช่น เลือกวัน–เวลาคลอดได้ตามที่ต้องการ, ความเชื่อเรื่องฤกษ์ยาม ที่ครอบครัวบางส่วนให้ความสำคัญ, ความกลัวความเจ็บปวด จากการเบ่งคลอด, ความรู้สึกควบคุมได้มากกว่า และการเข้าถึงการแพทย์ที่สะดวก
ดังนั้นการเลือกวิธีคลอดจึงไม่มีคำว่าถูกหรือผิด แต่ละวิธีมีข้อดี–ข้อเสียที่แตกต่างกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือสุขภาพของคุณแม่และความปลอดภัยของลูกน้อย คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด ฟังคำแนะนำตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ และเลือกวิธีที่เหมาะสมกับร่างกายและสภาพแวดล้อมของตนเอง เพื่อให้ทั้งแม่และลูกได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างแข็งแรงและปลอดภัย
นพ.สุปรีชา เล็กสุวรรณ
รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ สูตินรีแพทย์
โรงพยาบาลซีจีเอช พหลโยธิน